วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C ?

สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียง ที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย
การเรียงลำดับ อักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่ เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำ ร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากใน เวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป
ทั้ง นี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว
ปล. แป้นพิมพ์ภาษาไทย ก็ให้เหตุผลเดียวกัน
หัสดาภรณ์ (อีฟ)

จีนโหวตทางเน็ตฯ พระเทพ มิตรดีที่สุดในโลก

เผย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีนให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" อันดับที่ 2 โดยทรงได้รับคะแนนโหวตจากชาวจีนทั่วประเทศถึงกว่า 2 ล้านคะแนน คนไทยสุดปลื้มปีติที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรติ หลังจากก่อนหน้านี้ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" และทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ จากการเสด็จฯเยือนจีนจนครบหมดทั่วทุกมณฑลของจีนที่กว้างใหญ่ไพศาล

นับเป็นข่าวที่พสกนิกรไทยสุดปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง และถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่โลกและชนสองชาติคือไทย-จีน ต้องจารึกไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีน ให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" หลังจากที่ทรงได้รับการยกย่องและได้รับพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" จากการที่ทรงเจริญสัมพันธไมตรี ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนถึง 20 ครั้ง และยังเสด็จเยือนครบหมดแล้วในทุกมณฑลของจีน ซึ่งมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก นับเป็นราชนิกูลพระองค์เดียวในโลกที่เสด็จเยือนจีนมากที่สุด ทำให้ทรงเป็นประดุจสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน อีกทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงสนพระทัยในภาษาจีน รวมทั้งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ส่งผลให้ ความสัมพันธ์ของไทย-จีน กระชับแน่นและมีความพัฒนามากขึ้นเป็นทวีคูณ

ทั้งนี้ ข่าวอันน่าปลื้มปีติครั้งนี้ เป็นที่เปิดเผยขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค. หลังจากมีรายงานว่า มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการโหวตทางอินเตอร์เน็ตจากชาวจีนทั่วประเทศ ด้วยคะแนนกว่า 2 ล้านคะแนน ให้สมเด็จพระเทพฯ เป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 2 โดยมิตรที่ดีที่สุดในโลกที่ชาวจีนโหวตให้เป็นอันดับ 1 คือ ฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ที่เป็นผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีน ในอันดับอื่น ๆ อีก แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการโหวตเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม จากพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีผู้เขียนไว้เป็นรายงานพิเศษในบล็อกทางอินเตอร์เน็ต มีการระบุไว้ว่า สมเด็จพระเทพฯ หรือที่คนจีนทั่วไป คุ้นเคยกับการกล่าวขานพระนามของพระองค์ว่า "สิรินธร" ได้เสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2524 และเพียง 23 ปี ให้หลังก็ทรงเสด็จเยือนจีนได้ครบหมดทุกมณฑล ทั้งที่บางมณฑลของจีนมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย

นอกจากการ เรียนภาษาและวัฒนธรรมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเรียนการเขียนลายสือจีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊ก จนเชี่ยวชาญอีกด้วย จากการที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนจีนทุกปีในช่วงที่ผ่านมา ยังทรงถ่ายทอดประสบการณ์การเยือนแผ่นดินจีนตั้งแต่ครั้งแรก เป็นพระราชนิพนธ์ให้คนไทยได้อ่าน อาทิ สารคดีท่องเที่ยวเรื่อง ย่ำแดนมังกร มุ่งไกลในรอยทราย เกล็ดหิมะในสายหมอก ใต้เมฆที่เมฆใต้ เย็นสบายชายน้ำ คืนถิ่นจีนใหญ่และเจียงหนานแสนงามเป็นต้น ซึ่งทุกพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ไม่เพียงจุดประกายให้คนไทยไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ คนไทยมีความเข้าใจในประเทศจีน คนจีนและวัฒนธรรมจีน เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วย

สำหรับผลโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีนที่ได้มีการโหวตถึงมิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีนจำนวน 10 คน จาก จำนวน 50 คน ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีการประกาศผลเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยนอกเหนือจากนายซามารานซ์และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้รับการโหวตแล้ว ยังมีผู้ได้รับการโหวต ว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีนอีก 8 คน คือ

1. Norman Bethune นายแพทย์ชาวแคนาดา ผู้เสียชีวิตในสงครามจีน ญี่ปุ่น ในปี 1930s โดยการรักษาชีวิตของทหารจีน

2. John Rabe ชาวเยอรมันผู้ช่วยชีวิตชาวจีน 250,000 คน ระหว่างการสังหารโหดที่นานกิง โดยการรุกรานของญี่ปุ่น

3. Edgar Snow นักเขียนอเมริกันผู้เขียน "Red Star over China" in the 1930s ที่ทำให้กองทัพแดงและประธานเหมาเจอตุงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

4. Dr.Joseph Needham, นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลาเกือบห้าสิบปี ในการประพันธ์ "Science and Civilisation in China".

5. Israel Epstein ; ชาวโปแลนด์เชื้อชาติจีน

6. Rewi Alley ; นักการศึกษา นิวซีแลนด์

7. นายแพทย์ชาวอินเดีย Kwarkanath S. Kotnis

8. นาย Morihiko Hiramatsu อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด Oita ประเทศญี่ปุ่น 8 สมัย ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Village One Product) ที่เรียกย่อว่า OVOP แล้วเมืองไทยมาลอกเลียนเป็น OTOP นั่นเอง

ส่วน เว็บไซต์ที่มีการรายงานข่าวผลการโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีน เป็นเว็บไซต์ของจีน คือ ในเว็บไซต์ echinacities.com รวมถึงเว็บไซต์ m.cri.cn และเว็บไซต์ english.cctv.com ได้เผยว่า การประกาศผลครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างสมาคมมิตรภาพกับประเทศต่าง ชาติแห่งประชาชนจีน กับองค์การบริหารผู้เชี่ยวชาญกิจการต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานีวิทยุสากลจีน (ซีอาร์ไอ) จัดการโหวตทางออนไลน์ให้กับตำแหน่งมิตรแห่งชาติ 10 อันดับ ของประชาชนชาวจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน

ประเพณีลอยกระทง

ลอยกระทง วันลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง

ลอยกระทงเป็น พิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน ๑๒ หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆกัน สำหรับในปีนี้วันลอยกระทงตรงกับวันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่าก็มีการลอยกระทงคล้ายๆกับบ้านเรา จะต่างกันบ้างก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทงก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน


วันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทงทำไมถึง ลอยกระทง
การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่งก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตก ต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธ มารดา นอกจากนี้ ก็ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเล ลึกหรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทงเพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคาซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์/ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย


พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทงอาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การ ลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหลเพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้วจึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำ ว่าได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้ว ท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่าการลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษและขอบคุณต่อแม่ คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดีที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือเพื่อขอบคุณที่บันดาลให้ การเพาะปลูกของตนได้ผลดี

รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อนเรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวงตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป

วันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทงวันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทง


ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว
ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่าเป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีใน เวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลายตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูป เทียนนำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ พระสนมเอกก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า “แต่ นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน

ตำนานและความเชื่อ
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้

เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวน/หุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐานและบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล

พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาคก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอมและดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำเพื่อไปนมัสการรอยพระ พุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆมาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทงตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

วันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทงวันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทง


ใน เรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐานประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลายจึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป

ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวัน เพ็ญ เดือน ๑๑ หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา ๓ เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัทพากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์และนรกด้วยฤทธิ์ของ พระองค์ คนจึงพากันลอยกระทงเพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า

สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตามประทีปเพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาดลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรามักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย

เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี” โดยกำหนดทางโหราศาสตร์ว่าเมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทและการรับเสด็จพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวมา ข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน ๑๒ หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง ๒ เดือน)

วันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทงวันลอยกระทง, ลอยกระทง, กระทง, งานลอยกระทง, ประเพณีลอยกระทง, กลอนวันลอยกระทง, การทำกระทง, ภาพกระทง


จาก เรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญูระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้าหรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชนได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง

ประเพณี ลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่าในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อ ผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆแห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำ คลองไปด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวมาคงจะทำให้ท่าน ได้รู้จักคุณค่า สาระและเรื่องราวเกี่ยวกับ“ประเพณีลอยกระทง” มากขึ้น และหวังว่า “ลอยกระทง” ปีนี้ นอกจากความสนุกสนานแล้ว คงจะมีความหมายแก่ท่านทั้งหลายเพิ่มขึ้นด้วย

ที่มา : อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

อาหารที่อันตรายที่สุดในโลก

1.แฮมเบอเกอร์แฮมเบอร์เกอร์ ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ2.ฮอทด็อกฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่า สัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%3.เฟรนช์ฟรายเป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท4.โอริโอ้ คุกกี้ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อก โกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น5.พิซซ่าพิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด-. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น-. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ 6.น้ำอัดลมสารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ 7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูกทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ 8.ไอศครีมมีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น 9.โดนัทโดย เฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ 10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวว วการ ทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ

ฝันที่เป็นจริง 'เซลล์เชื้อเพลิง' ชาร์จมือถือไม่พึ่งไฟฟ้า/แสงแดด

ที่ชาร์จพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงหรือ fuel cell charger ไม่ใช่อุปกรณ์ในฝันที่อยู่แต่ในห้องทดลองอีกต่อไปแล้ว วันนี้โตชิบาประกาศพร้อมวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ชาร์จเซลล์เชื้อเพลิงอย่างเป็นทางการ อาสาตัวเป็นทางเลือกใหม่ให้การชาร์จโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา ไม่ต้องพึ่งพาทั้งไฟฟ้าและแสงอาทิตย์อีกต่อไป

โตชิบานั้นวางจำหน่ายที่ชาร์จพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ใช้ชื่อในการทำตลาดว่า "ไดนาริโอ้ (Dynario)" มาในรูปเครื่องส่งกำลังไฟให้กับแบตเตอรี่เพื่อใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่นเพลง MP3 เพียงเชื่อมไดนาริโอ้เข้ากับอุปกรณ์ผ่านทางสายยูเอสบี (USB) การชาร์จไฟก็จะเกิดขึ้นไม่ต่างกับการเสียบที่ชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟหรือคอมพิวเตอร์

หลักการทำงานของที่ชาร์จทางเลือกใหม่นี้คือ เมื่อฉีดเมทานอลเหลวเข้าไปในที่ชาร์จไดนาริโอ้ เซลล์เชื้อเพลิงจะสร้างกระแสไฟฟ้าจากปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำมาชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพานานาชนิดผ่านสายเคเบิลยูเอสบี (USB) การฉีดเมธานอลลงในถังเชื้อเพลิงภายในไดราริโอ้ซึ่งมีความจุสูงสุด 14 มิลลิลิตร จะกำเนิดพลังงานสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ได้ภายใน 20 วินาที ซึ่งกำลังไฟที่ได้นั้นมากเพียงพอสำหรับให้พลังงานโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง

โตชิบาประกาศแผนชิมลางจำหน่ายก่อน 3,000 ชุดในราคา 29,800 เยน หรือประมาณ 10,800 บาท ผู้ซื้อจะได้รับชุดเชื้อเพลิงเมทานอลเหลว 5 ขวดราคา 3,150 เยน (ประมาณ 1,146 บาท)

แม้จะแพง แต่หลายคนเชื่อว่าที่ชาร์จนี้มีจุดขายสำคัญที่ทำให้ชาวไอทีอยากจะมีไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะคนที่ต้องการชาร์จพลังงานนอกอาคาร และคนที่ไม่อยากเสียเวลารอเป็นชั่วโมงกว่าจะสามารถชาร์จได้เต็ม

สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นเก่าที่ไม่มีพอร์ตยูเอสบี ก็สามารถใช้ที่ชาร์จมหัศจรรย์นี้ได้โดยต่ออแดปเตอร์เข้ากับเครื่อง โดยหลังจากการจำหน่ายล็อต 3,000 ชุดแรก โตชิบามีแผนเพิ่มจำนวนการผลิตทั้งในส่วนเครื่องไดนาริโอ้และอแดปเตอร์ รวมถึงการขยายพื้นที่จำหน่ายให้แพร่หลายกว่านี้

โตชิบาตอกย้ำอนาคตสดใสของการนำเซลล์เชื้อเพลิงมาใช้เป็นแหล่งพลังงานในแบตเตอรี่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ว่า การเผาผลาญพลังงานในแบตเตอรี่เหล่านี้กำลังเป็นความกังวลหลักในเรื่องการสิ้นเปลืองพลังงานของโลก สอดรับกับกระแสโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังปรับพฤติกรรมเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

ยังไม่มีรายงานกำหนดการวางตลาดที่ชาร์จพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงนอกพื้นที่ญี่ปุ่นในขณะนี้

ที่มา manager.co.th

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"คนไร้ค่า" กับ "ทำตัวไร้ค่า" ต่างกันมั้ย

ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุดก็ยังโง่ในหลายเรื่อง
ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า

การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต
ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน
คนที่ไม่เคยหิวย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม
ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลวย่อมหอมหวานกว่าเดิม

อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน อีกคนนึง
ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร


ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง

คนเราไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้นที่ได้ทำ
หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า
ทิชา (หลิว)

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/19295.html

5 ประโยคที่ดีที่สุดในการเริ่มการสนทนาเมื่อเข้าสังคม!

การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้าอาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย? คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร? ประโยคต่อไปนี้คือ “ice-breakers,” ที่ดีที่สุดที่คุณสามารถนำไปใช้ได้

หาสิ่งที่คุณและเขามีร่วมกัน

ถึงแม้คุณจะคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วคุณรู้มากกว่าที่คุณคิด ก็คุณและเขาอยู่ในห้องเดียวกันนี่หนึ่งละ ดังนั้นคุณสามารถถามเขาได้ว่า “So what brings you here?” หรือสมมุติว่าคุณอยู่ที่งานปาร์ตี้ของ Bob เพื่อนคุณ คุณสามารถถามคนๆ นั้นว่า “How do you know Bob?”

ชมเขา

คนเราทุกคนต่างก็พอใจที่จะได้ยินสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น “What a wonderful dress you’re wearing!” หรือบอกเขาว่าคุณชอบรองเท้าของเธอหรือแว่นตาของเขามาก เป็นต้น หลังจากนั้น ถ้าคู่สนทนาของคุณไม่กล่าวอะไรต่อมากไปกว่าคำว่า “thank you,” คุณสามารถถามต่อไปว่า “Where did you get it?” หรือ “What’s it made out of?” หรือแม้แต่ “Was it expensive?” คำถามเหล่านี้ดีตรงที่มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนๆ นั้นบอกเล่าสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองให้คุณฟัง

ถามคำถามเกี่ยวกับเขา

คนส่วนใหญ่ต่างก็มีการมีงานทำกันทั้งนั้น ฉะนั้นคุณสามารถถามเขาว่า “So what do you do for a living?” หรือคุณอาจถามไปว่า “Where are you from originally?” ซึ่งหมายถึงคุณต้องการรู้ว่าเขาเกิดที่ไหน คำถามเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสนทนาเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนสุภาพ เขาจะถามคุณกลับ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพูดเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย

แนะนำตัวเอง

อย่างเพียงแค่กล่าวว่า “Hi, my name is John.” ให้เติมรายละเอียดเข้าไปด้วยเช่น “Hi, my name is John. I’m a friend of Bob’s from high school. We use to have the same math class together.” นี่เป็นวิธีดึงความสนใจจากคู่สนทนาและกระตุ้นให้เขาถามเกี่ยวกับคุณหรือเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเองให้คุณทราบเป็นการสนองกลับ

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบางอย่าง

คุณไม่จำเป็นต้องถามเขาเป็นการส่วนตัว แต่คุณสามารถดึงความสนใจจากเขาโดยการกล่าวลอยๆ อย่างเช่น “This is a great party” หรือ “What a lovely house this is.” ถึงแม้ว่างานปาร์ตี้หรือบ้านหลังนี้จะไม่ใช่ของเขา แต่ประโยคข้างต้นเป็นหัวข้อง่ายๆ ที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นของเขา อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ice-breakers เหล่านี้ใช้ได้ดีเพราะคุณและคนแปลกหน้านี้มีบางสิ่งร่วมกัน นั่นก็คือพวกคุณกำลังคุยกันยังไงล่ะ

ที่มา: http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=949

เมธี (Boat) ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อากาศและฤดูกาล เป็นตัวสำคัญ ส่งสัญญาณให้นาฬิกาชีวภาพเดินตรง



นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษพบว่านาฬิกาชีวภาพภายในร่างกายคนเรานั้น เดินไปตามลักษณะอากาศและฤดูกาลที่ส่งสัญญาณมาในสิ่งแวดล้อม การค้นพบเช่นนี้จะช่วยต่อสู้ปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับได้ต่อไป...ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเอดินเบอระพบกลไกอันแสนซับซ้อน ที่สามารถจัดการกับปริมาณของแสงจากชั่วโมงหนึ่งสู่อีกชั่วโมงหนึ่ง เช่นเดียวกับในแต่ละฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป"การค้นพบเช่นนี้ช่วยให้เราทำความเข้าใจได้อย่างใหญ่หลวง ว่าอะไรที่เป็นแรงขับจังหวะภายในร่างกายคน สัตว์และพืช" ทีมนักวิจัยกล่าวเสริมพร้อมเพิ่มเติมว่า งานวิจัยนี้ช่วยนำไปสู่การต่อกรกับปัญหาเรื่องการนอนหลักอันมีสาเหตุ มาจากความอ่อนล้าจากการเดินทางโดยเครื่องบิน และการทำงานเปลี่ยนกะพวกนักวิจัยยังบอกด้วยว่าสัญญาณทางสิ่งแวดล้อม เช่น แสงในตอนกลางวันที่มีอยู่หลายชั่วโมงมีผลต่อจังหวะชีวิตประจำวันซึ่งควบคุมการออกดอกและการสุกของผลไม้ดร.คาร์ล โทรเอน คณะชีววิทยา มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ กล่าวว่า "การศึกษาของเราอธิบายว่าจังหวะชีวิตนั้นมีการพัฒนาไปอย่างไร พวกเราหวังว่ามันจะมีประโยชน์ในการให้ข้อมูลในการรักษาความผิดปกติจากการนอน พร้อมทั้งช่วยนักวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาพืชที่ดำรงชีวิตได้ยืนยาวต่อไป".

PANISA

7 เคล็ดลับแก้นิสัยขี้ลืมให้หายขาด

1. ตั้งสมาธิ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ หรือมีสารพัดเรื่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีอะไรมากวนสมาธิบ่อยนัก จัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และติดป้ายห้ามรบกวนไว้ที่โต๊ะ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ

2.จดโน้ต ถ้าทำงานที่มีความซับซ้อนหรือมีหลายงาน ควรรีบโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที

3. ใส่ใจ การที่คนเราลืมอะไรบ่อยๆ อาจะเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพูดอะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด ก็จะช่วยให้จำได้ดีขึ้น

4. ท่องจำ การท่องเป็นวิธีช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุด เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะท่องจำเนี่ยแหละ ถ้าหมั่นท่องสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ ได้จากการฟัง ได้ดีขึ้น

5. พูดออกเสียง เคยสังเกตไหมว่าเราสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้จากการฟัง การพูด ออกมาทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น

6. พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง

7. ทำ mind mapping ถ้าจะทำโครงการต่างๆ ลองเริ่มจากการเขียนแผนผังใส่หัวข้อต่างๆ ลงไป มีหัวข้อหลักและรายละเอียดด้วยก็จะทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและช่วยจำได้ ที่สำคัญนอนหลับให้พอ ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะช่วยให้จำดีขึ้น


sarunya [yamm]

^_________^**

75 คำบอกรักที่....สุดๆเลย ^^

1.เธอไม่ต้องใช้กบเหลาดินสอหรอกนะ.............เพราะคำพูดและหน้าตาของเธอแหลม

พอที่จะแทงใจฉันให้อ่อนได้

2.อยากมีพาวเวอร์พอยต์ ............จะได้พรีเซ้นความรักของฉันที่มีต่อเธอได้

3.ตายแล้ว!!! เธอรู้ไหม? เธอทำให้ขยะล้นโลกนะ...............เพราะหัวใจใช้แล้ว

ของฉันที่เธอไม่ต้องการมันแล้วไม่สามารถรีไซเคิลได้

4.เธอไม่ต้องแปลกใจหรอกนะที่หาชื่อตัวเองในพจนานุกรมไม่เจอ...........เพราะมันอยู่ในใจฉัน

5.ว่ากันว่าถอดสแควรูดน่ะมันถอดยากนะ........แต่ฉันว่าถอดเธอออกจากใจฉันมันยากยิ่งกว่าเสียอีก

6.เฮ้อ...เรามีแต่พาสเวิร์ดเข้าสู่อินเตอร์เน็ต......แต่ไม่มีเมซเซสเข้าสู่หัวใจเธอเลย

7.พรมแดนที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะพรมแดนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ก็ไม่มีพรมแดนไหนมาคั่นหัวใจเราสองให้ห่างไกลกันได้หรอก

8.ยังตัดสินใจไม่ได้ใช่ไหม เอางี้ โยนหัวก้อยกัน ถ้าออกหัว เธอมาเป็นแฟนฉัน ถ้าออกก้อย ฉันจะยอมเป็นแฟนเธอ

9.อยากเอาชีวิตฉันหรอ?.......ยิงเลยสิ....ยิงมาที่กลางหัวใจเลย...แต่เธอจะเจ็บหน่อยนะ เพราะในนั้นน่ะ...............มีเธออยู่

10.ขอยืมลายมือสวยๆหน่อยได้ไหม....จะเอาจดทะเบียนสมรส

11.เอามีดมาแทงเลยสิ แทงตรงหัวใจเลยนะ ฉันไม่เจ็บหรอก แต่เธอน่ะแหละที่จะเจ็บ.............เพราะเธออยู่ในใจเธอไง

12.ใช่สิ ฉันมันคนไร้หัวใจ...ก็เธอเอาหัวใจฉันไปหมดแล้วนี่

13.ถ้าฉันมีปืน 2 อัน ฉันจะแบ่งให้เธอหนึ่งอัน.........เราจะได้มี GUN และ GUN ไง

15. ถ้าเธอเป็นโคลน ฉันจะเป็นค ว า ย............จะได้จมปลักรักเธอตลอดไป...

16.เดินดีๆ นะน้อง.......ระวังจะสะดุดรักพี่ล่ะ

17.ฉัน : นี่ๆรู้ไหม เวลาเห็นหน้าคุณทีไร มักจะเป็นโรคชักทุกทีเลยอ้ะ?

เธอ : ?? โรคชักไรหรอคะ? ฉัน : โรคชักจะใจอ่อน

18. ฉันน่ะไม่ติงต๊องหรอก แต่ ThinkinG OF YoU

19. ฉัน : เมื่อวานนะเสียเวลาตั้งนาน เธอ : ทำไมเหรอ? ฉัน : หลงทางในหัวใจเธอ

20. ขอปรึกษาปัญหาหากฎหมายหน่อยได้ไหม........ข้อหาลักลอบแอบชอบผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ผิดกฎหมายมาตราไหนครับ?

21. อยากเป็นแก้วน้ำ....เธอจะได้รินใจใส่ไว้

22.ถึงแม้อับบลาฮัมลินคอล์นจะเลิกทาสไปแล้ว........แต่ทำไมหัวใจฉันยังตกเป็นทาสของเธออยู่เลย

23.ท่าทางเธอจะมีโชคนะ ฉันเป็นหมอดู.... ดูดวงจากหมายเลขโทรศัพท์..............ไหนบอกเบอร์มาสิ..ฉันจะทายให้ ((ขอเบอร์แบบเสี่ยวๆ))

24.ผมจะต้องไปรับลอตเตอรี่มาขายล่ะครับ............เพราะความรักของคุณ..มันทำให้ผมตาบอดซะแล้ว

25.นี่เรารักเธอ...เธอโกรธเปล่า? กรณี1ไม่โกรธ งั้นเป็นแฟนกัน กรณี2 โกรธ งั้นก็รักเราคืนซะสิ

26." นี่ๆ ขอคำดิ!!!! " " คำว่า "รัก" น่ะ " ((เอาไว้เล่นตอนกินข้าว))

27.ฉัน : เปิดบัญชีรึยัง? เธอ : เปิดแล้ว ฉัน : เหรอ..งั้นจะได้เอาใจไปฝาก

28.ฉัน : เธอมีญาติเป็นสไปเดอร์แมนรึป่าว? เธอ : ไม่มี... ฉัน : มิน่าไม่มีเยื่อใยให้บ้างเลย

29.จะเรอให้คุณฟัง.....เรอทัก--รักเทอ

30.เวลาคุยโทรศัพท์กัน เรา:ตัวเองถือหูโทรศัพท์ข้างไหนอยู่อ่ะ เค้า: ข้างซ้าย/ข้างขวา เรา:เค้ารักตัวเองนะ ตัวเองเปลี่ยนข้างถือได้ป่ะ? (เปี่ยนข้างแล้ว) เรา:ตัวเองถือหูโทรศัพท์ข้างไหนอ่ะ? เค้า:ข้างซ้าย/ข้างขวา เรา:เค้าเกลียดตัวเองแล้วอ่ะ เค้า:ทำไมอ่ะ? เรา:ก้อเค้ารักตัวเองข้างเดียวอ่ะ

31.เวลานั่งอยู่ เรา:ตัวเองๆ..เปลี่ยนที่นั่งได้ป่ะ? เค้า:อ้าว...แล้วให้เราไปนั่งไหนอ่ะ? เรา:มานั่งในใจเราไง...

32.เรา:เธอๆผมเรายาวยังอ่ะ? 1.เค้า:ยังไม่ยาวเลยอ่ะ... เรา:ยังยาวไม่พอจะมัดใจเธอเลยเหรอ 2.เค้า:ก้อยาวแล้วนิ เรา:ยาวพอจะมัดใจเทอได้ยังอ่ะ?

33.เวลาคุยโทรศัพท์กัน เค้า:อยู่ที่ไหนอ่ะ? เรา:อยู่ในใจเธอ เค้า:ทำอะไรอยู่อ่ะ? เรา:ทำใจไม่ให้รักเธอ

34.ฉัน : นี่เธอที่บ้านไม่มีเก้าxxx้ให้นั่งหรอ? เธอ : ทำไมคะ ??? ฉัน : ก็เธอชอบมานั่งในใจเรา

35.อยากเป็นกาแฟกระป๋อง..............จะได้เป็นหนี่งในใจคุณ

36.ถ้าฉันมีรองเท้าจะแบ่งให้เธอข้างหนึ่ง............เราจะได้อยู่คู่กันตลอดไปไง

37.ฉัน : แถวนั้นอันตรายครับระวังลื่นนะครับ... เธอ : ทำไมหล่ะคะ? ฉัน : ก้อหัวใจผม...ละลายอยู่แถวๆนั้นอ่ะครับ

38.โอ๊ย!!...อย่ากำแรง.............ยังไงเราก็ยอมเป็นลูกไก่ให้เธออยู่แล้วน่า

39.ช่วงนี้กำลังเบลอๆนะ...........เบลอว่ารักแถบ--แบบว่ารักเทอ

40. เรา : ที่บ้านมีน้ำมันมั้ยอ้ะ? เค้า : มีอ้ะ...ทำไม? เรา :จะได้เอามาทอดสะพานรักของเรา

41.เธอ : อากาศเย็นออกทำไมไม่ใส่เสื้อ ไม่หนาวเหรอไง? เรา : ไม่หนาวหรอก...เพราะอยู่ใกล้เธอแล้วอุ่นใจ ((ไว้เล่นตอนหน้าหนาว))

42. เรา : ตัวเองแถวบ้านมีถ่านขายป่ะ? เธอ : มีดิ เรา : ฝากซื้อหน่อยได้ป่ะ? เธอ : จาเอาไปทำอะไรอ่ะ?

เรา : เอามาเติมรักให้เต็ม

43.ฉัน: นี่เธอๆช่วยหันหน้ามาให้ฉันเห็นทั้ง 2 ข้างหน่อยซิ เธอ : ทำไมล่ะ? ฉัน : ก้อฉันไม่อยากหลงรักเธอข้างเดียวไง

44.ฉัน : โอ้ย..อยากเป็นเส้นเลือดใหญ่จังเลยอะ... เธอ : ทำไมล่ะ? ฉัน : ก็จะได้ใกล้หัวใจเธอไงละจ๊ะ

45.พบเธอทีไรก็เจอทุกทีเลย..............เจอละไม---ใจละเมอ

46.เรา:เธอๆมีเหรียญบาทป่ะ? เค้า:เอาไปทำไมหรอ? เรา:เอาไปโทรบอกแม่ว่าเราเจอเนื้อคู่แล้ว

47.เรา : เดี๋ยวพี่ซื้อนาฬิกาให้เอามั้ย? เค้า: จะให้หนูใส่ไปทำไมคะ? ตั้ง2เรือน..? เรา: ก็เราจะได้ไม่ลืมวันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันไงล่ะจ๊ะ...

48.เดินๆอยู่ เรา : อ๊ะ ผึ้ง !!! ( พลางชี้นิ้วไปข้างหัวใจเค้า) เธอ : ??? เรา : เพิ่งจะรุ้ว่ารัก

49.เรา: เห็นคุณเเล้วอยากจะซื้อบริษัทการบินไทยให้จังเลย เค้า : ทำไมอ่ะ? เรา : ก้อมัน"รักคุณเท่าฟ้า"อ่ะ

50.ฉันเป็นโรคไตระยะสุดท้าย...........ไตหาหัวจาม--ตามหาหัวใจ

51.พระเยซูรักทุกคน................แต่ฉันไม่ใช่พระเยซูฉันจึงรักเธอคนเดียว

52.ใช่ฉันมันคนหลายใจ..................แต่รู้ไหมทุกใจมีแต่เธอคนเดียว

53.โอ๊ย!!เจ็บคออ่ะ....................ก็ความรักมันค้ำคอ

54.โอ๊ย!!เราเดินตกหลุมอ่ะ...........ตกหลุมรัก

55. เธอน่าขึงจังเลย..........ขึงทิด--คิดถึง

56.เค้า :นี่ๆ...เดี๋ยวคาบต่อไปเรียนชั้นไหนหรอ?? เรา : ชั้นรักเธอหล่ะ ((ใช้ตอนอยุ่ห้องเดียวกันระหว่างเปลี่ยนคาบ))

57.เรา : หน้าอย่างคุณน่าจะเป็นเด็กช่างนะ เค้า : ??? เรา : ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้

58.เรา : เธอมีเข็มกะด้ายไหม? เค้า : เอาไปทำอะไรหรอ? เรา : เอามาเย็บใจน่ะสิ เห็นหน้าเธอ แล้วใจจะขาด

59.เรา : ของเราหายอ่ะ ไม่รู้ว่าลืมไว้ที่เธอป่าว? เค้า : ลืมไรไว้อ่ะ? เดี๋ยวช่วยหา... เรา : หัวใจเราไง

60.เรา : ดูท้องฟ้าสิเล็กจัง... เค้า : ทำไมหรอ? เรา : เขียนคำว่า รักเธอ ยังไม่พอเลยอ่ะ

61.เรา : ทำยังไงดีเราลืม? เค้า : ลืมอะไรหรอ? เรา : เราลืมเธอไม่ได้

62.เรา : หิวจัง เธอ : ก็ไปหาอะไรกินสิ เรา : กะว่าจะสั่ง.... เธอ : ?? เรา : สั่งพิซซ่า หน้าความรัก สลัดผัก ความคิดถึง เฟรนชฟราย ความคำนึง คิดถึง&ห่วงใย

63.เรา : นี่รู้ป่ะ? เธอเป็นคนโลภมาก เค้า : เอ้า...เราโลภตรงไหน? เราทำไรผิดเนี๊ยะ? เรา : ก็เธอเล่นเอาหัวใจเราไปทั้ง 4 ห้องเลย

64. เรา : นี่ๆช่วยอะไรหน่อยได้มะ? เค้า : อ่า...ทำไรคะ? เรา : ช่วยเดินไปตรงกระจกแล้วบอกคนนั้นว่าเราคิดถึง

65. เรา : เหนื่อยมั้ยที่มาเดินเล่นในใจผม? เค้า : แหวะ...น้ำเน่า เรา : ถึงน้ำเน่าแต่ยังเห็นเงาจันทร์นะ... เค้า : โอ..เสี่ยวมาก เรา : เสี่ยวนักเพราะรักเธอ เค้า : นี่เธอเบลอป่าวเนี่ย? เรา : เบลอว่ารักแถบ-แบบว่ารักเธอ เค้า : กรรม กรรม กรรม กรรม ((รวมมิตร))

66.เรา: รู้เปล่าว่าเที่ยวทะเลตอนไหนสวยที่สุด? เค้า : ตอนไหน เรา:ก็ตอนที่มีเธออยู่ด้วยไง

67.เรา : นี่ๆหันไปทางซ้ายหน่อยสิ เค้า : ทำไมอะ? เรา :น่า...หันหน่อยสิ เค้า: อะ...แค่นี้พอยัง เรา : อืมใช้ได้ๆ

เค้า :ให้หันทำไมอะ? เรา : อยากให้ใจมันตรงกันหน่อยอะ

68. เรา : นี่ๆๆ..เราว่าเธอโดนแล้วนะ เค้า : โดนไร เรา : ก้อโดนเรารักแล้วไง

69.เรา : ทำไมวันนี้เรามองเธอเราเจ็บตาจัง เค้า : อ้าว...ทำไมเธอมองเราแล้วเจ็บตาล่ะ เรา : ก็เธอสวยเตะตางัย

70.เรา: เธอๆๆ เธอ: มีไรเหรอ? เรา: เก็บปากกาให้หน่อยดิ เธอ: นี่จ๊ะ..... เรา:แล้วอย่าลืมเก็บหัวใจเราที่ตกอยู่ข้างๆปากกาด้วยนะ

71.ถ้าคุณต้องออกไปนอกโลก คุณจะเอาของสิ่งใดติดตัวคุณไป?~ 1. รองเท้า / ไปวิ่งในหัวใจเธอ 2. กล่อง / ไว้เก็บใจของเธอ 3. เชือก / ไต่ขึ้นมาจากหลุมอวกาศที่เธอขุดไว้ 4. พลาสเตอร์ / แปะแผลใจ 5. หมอน / ฝันถึงเธอ

72.เรา: เฮ่ย !! อย่า!...... เค้า : อย่าอะไร? เรา:อย่าทำให้ฉัน ...รักเทอ

73.เรา: เอ่อ...โทษที เค้า : มีอะไรเหรอ? เรา : ช่วยยกขาหน่อยได้ไหม? เค้า : ทำไม? เรา : ก็เทอเหยียบหัวใจเราอยู่น่ะ

74. เรา : เธอตอนนี้อากาศเป็นไงมั่งอ่ะ? เค้า : ร้อนอ่ะ เรา : งั้นสงสัยเราให้ความอบอุ่นเธอมากเกินไป

75. เรา : เธอเป็นโรคหัวใจรั่วรึป่าว? เค้า : ทำไมหรอ? เรา : ก็เราใช้ความรักเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มสัก


credit: http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=878

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

HIII!!!

ยู้ฮู้ๆๆๆๆๆ

ยินดีต้อนรับ สู่การเรียนรู้ รายวิชา ENST232

ยินดีคะที่ได้รู้จักและร่วมการเดินทางเพื่อการเรียนรู้ ทั้งทางด้านเนื้อหา สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเรียนรู้ตนเอง ภายใต้บริบทของสังคมอันยุ่งเหยิงแบบนี้

เพื่อให้การเรียนรู้ครั้งนี้เป็นประัโยชน์ต่อทุกคน ครูขอบอกเรื่องของ "ข้อตกลง" ในการเรียนรู้นะคะ

ข้อตกลง

ให้เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน โดยที่สิ่งที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของเราอย่างสมบูรณ์ คือ ความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อการเรียนรู้ร่วมกันของกลุ่ม การรับผิดชอบต่อตนเองคือ...รับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ร่วมกันของกลุ่มคือ...นอกจากจะรับผิดชอบต่อตนเองแล้วก็ช่วยกันเพื่อนและคลาสด้วย ตัวอย่างเช่น การที่เรามาตรงต่อเวลา...ใช่ ดีแล้ว :) แต่ปรากฎว่าเก้าอี้ข้างๆโหว่ๆแหว่งๆ ก็จะทำให้การเรียนรู้ของเราไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ... และการรับผิดชอบตรงนี้ก็คือ ก่อนมาเข้าคลาส เดินผ่านเห็นเพื่อนคนไหนยังอาจจะหลงลืมเวลาไปบ้าง เราก็อาจจะเตือนๆสะกิดๆว่า "อื้ม ใกล้ถึงเวลาเข้าคลาสแล้วนะ" เป็นต้น อย่าเดินผ่านไปเฉยๆ ก็คือดูแลกันและกัน...จะเป็นดูแลการเรียนรู้ของกลุ่มด้วย (แม้จะดูเป็นเพียงแค่การเอ่ยปากบอกไม่กี่คำก็ตาม) :) ซึ่งการที่เราได้มีความรับผิดชอบต่อสิ่งรอบข้างหรือคนรอบข้าง ก็จะนำไปสู่การรับผิดชอบต่อสิ่งที่กว้างออกไปได้อีกจนอาจจะถึงระดับโลกเลยทีเดียว...ซึ่งคิดว่าก็ต้องอาศัยการตระหนักและการมีสติรู้ตัว...

1. ขอให้ทุกคนมีสมุดในการเล่าเรื่องการเรียนรู้ของตนเอง โดยเขียนสิ่งที่ตนเองอยากเขียน และที่กำหนด คือ ในแต่ละสัปดาห์ เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ..... แล้วส่งให้ครูอ่านเพื่อการเรียนรู้ร่วมด้วย ทุกวันจันทร์ แล้วครูจะคืนให้ในวันเวลาเรียนวันพุธเช้านะคะ

2. เข้ามา Post บทความใน blog อาทิตย์ละอย่างน้อย 1 บทความ และให้คอมเมนต์บทความของเพื่อนอย่างน้อย 2 คอมเมนต์

3. เคารพตัวเอง และเคารพการเรียนรู้ของตนเองและกลุ่ม

ยินดีที่จะได้ร่วมเรียนรู้กันนะคะ

อาจารย์จงดี