วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประหยัดเพื่อโลก

คอมพิวเตอร์สีเขียว เพื่อโลกและสิ่งแวดล้อม
การช่วยอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อรักษาโลก คนละไม้คนละมือไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ บางครั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราลืมคิดไป หรือไม่ทันนึกถึงนี่แหละ ก็สามารถช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างเห็นผล ถ้าทุกคนร่วมมือกันอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ สมองกลอัจฉริยะที่ ณ ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกไปแล้ว
ถ้าเราลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ท่านเชื่อไหมว่าจะช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมได้แบบง่ายดายสุดๆ เช่นกัน!เคล็ดลับประหยัดพลังงานและค่าไฟ
1.เริ่มต้นกันที่ จอภาพ แค่ลดความสว่างลง ไม่ต้องตั้งให้สว่างจ้าเกินไป จะลดอัตราการกินไฟทันที
2.เมื่อเลิกใช้งานให้ปิดทั้งคอมพิวเตอร์ จอ ภาพ พรินเตอร์ และถอดปลั๊กออกด้วย
3. การตั้งค่าพักหน้าจอให้อยู่ในโหมด Screen Saver ไม่ได้ช่วยประหยัดพลังงาน เพราะจอภาพยังทำงานเหมือนเดิม
4.ถ้าคิดว่าจะพักใช้งานชั่วคราวไม่เกิน 1 ชั่วโมง ให้เลือกปิด หรือ Shut Down ด้วยโหมด Standby แต่ถ้าพักนานราว 2-3 ชั่วโมงให้เลือกโหมด Hibernate
5.ถ้าขี้เกียจนั่งกด Shut Down ให้เซ็ตตั้งค่าพักเครื่องแบบ Standby โดยระบบอัตโนมัติ โดยให้เข้าไปตั้งใน Control Panel เลือกหัวข้อ Power Options Properties จากนั้นตรงหัวข้อ Turn off Monitor เลือกตั้งค่าไว้ 10 นาที ส่วนค่า Standby ตั้งไว้ 1 ชั่วโมง
6.จอแบน (Flat Panel) กินไฟน้อย
7.ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานหนักๆ ควรเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบ โน้ตบุ๊ก เพราะกินไฟน้อยกว่าแบบตั้งโต๊ะ การจัดการกับ คอมพ์เก่าคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องมี "สารเคมีเป็นพิษ" เป็นส่วนผสมอยู่หลายชนิด ที่พบบ่อย เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู สารทนไฟกลุ่มโบรมีน แคดเมียม และเบริลเลียม ในแต่ละปีคาดว่ามีคอมพิวเตอร์ตกรุ่นประมาณ 40 ล้านเครื่องทั่วโลก ถ้าเจ้าของต่างพร้อมใจนำไปทิ้งไม่เป็นที่เป็นทางโดยไม่จัดการดูแลให้ดีจะสร้างปัญหา "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกขณะ เพราะสารพิษดังกล่าวจะแทรกซึมเข้าสู่สภาพแวดล้อมข้อแนะนำที่ดีที่สุด คือ ให้นำเครื่องตกรุ่นเหล่านั้นไป บริจาค ตามสถาบันการศึกษา กลุ่มผู้ด้อยโอกาส สถานที่ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ฯลฯถ้ายังพอใช้งานได้ ให้นำไปปรึกษาช่างคอม พิวเตอร์ว่าสามารถ "อัพเกรด" ถอดเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ๆ เข้าไปใช้แทนของเก่าได้หรือไม่อย่างไรก็ตาม ก่อนหอบไปบริจาคนั้นควรต้องลบ "ข้อมูลส่วนตัว" ที่อยู่ในความจำออกไปเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่เสียดายตัดใจบริจาคไม่ลง ให้ถอดแยกชิ้น "ฮาร์ดแวร์" ที่ยังใช้งานได้อยู่มาเก็บไว้เป็นอะไหล่สำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์ แรม สายเคเบิล พัดลมระบายความร้อน เทคนิคง่ายๆ เพียงแค่นี้ ช่วยให้เราใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด!


ที่มา: http://webmonster.sapaan.net/general/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B5-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5.html

ความรู้ที่ท่านอาจยังไม่รู้

1. รู้รอบตัวมากมาย แต่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ก็เสื่อม

2. รู้เว้นงู เว้นเสือ เว้นมีด เว้นปืน แต่ไม่รู้เว้นอบายมุข ก็เสื่อม

3. รู้ภาษาต่างประเทศแต่ไม่รู้คุณค่าภาษาไทย ก็เสื่อม

4. รู้ตอบคำถามแต่ไม่รู้ตอบคุณแผ่นดิน ก็เสื่อม

5. รู้ที่กินที่เที่ยว แต่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ก็เสื่อม

6. รู้วัน เดือน ปีเกิด แต่ไม่รู้กาลเทศะ ก็เสื่อม

7. รู้พยากรณ์อากาศ แต่ไม่รู้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลง ก็เสื่อม

8. รู้จักรวาลวิทยานภากาศ แต่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็เสื่อม

9. รู้จักคนมากมายหลายวงการ แต่ไม่รู้จักตนเอง ก็เสื่อม

10. รู้จักบริหารคน บริหารงาน แต่ไม่รู้จักวิธีบริหารใจ ก็เสื่อม

11. รู้จักวิธีหาเงินมากมาย แต่ไม่รู้วิธีบริหารเงิน ก็เสื่อม

12. รู้จักสร้างตึกสูงนับร้อยชั้น แต่ไม่รู้วิธีฝึกใจให้สูง ก็เสื่อม

13. รู้จักโกรธ แต่ไม่รู้จักให้อภัย ก็เสื่อม

14. รู้จักกติกามารยาท แต่ไม่รู้จักกฏแห่งกรรม ก็เสื่อม

15. รู้จักสวมนาฬิกาแพงๆ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา ก็เสื่อม

16. รู้จักการเข้าสังคม แต่ไม่รู้จักการเข้าหาสังฆะ ก็เสื่อม

17. รู้เรียนเอาปริญญาสูงๆ แต่ไม่รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง ก็เสื่อม

18. รู้ที่จะมีลูก แต่ไม่รู้จักเลี้ยงลูก ก็เสื่อม

19. รู้ที่จะรัก แต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ก็เสื่อม

20. รู้ที่จะดู แต่ไม่รู้ที่จักเห็น ก็เสื่อม

21. รู้ที่จะนับถือ แต่ไม่รู้ที่จะนับถืออย่างไร ก็เสื่อม

22. รู้ที่จะพูด แต่ไม่รู้จักศิลปะการพูด ก็เสื่อม

23. รู้ที่จะสวมหัวโขน แต่ไม่รู้ที่จะถอด ก็เสื่อม

24. รู้ว่าวันหนึ่งจะต้องตาย แต่ไม่รู้วิธีเตรียมตัวตาย ก็เสื่อม

25. รู้คุณของเงินทอง แต่ไม่รู้คุณพ่อคุณแม่ ก็เสื่อม


Credit :: http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=933
เจ้าของบทความ : ว.วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี)

พัณณิตา(นุ้ย)

Mouse

ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ที่พัฒนาในระยะหลัง ๆ นี้ สามารถ ติดต่อกับผู้ใช้โดยการใช้รูปกราฟิกแทนคำสั่ง มีการใช้งานเป็นช่วง หน้าต่าง และเลือกรายการหรือคำสั่งด้วยภาพ หรือสัญรูป (icon) อุปกรณ์รับ เข้าที่นิยมใช้จึงเป็นอุปกรณ์ประเภทตัวชี้ที่เรียกว่า เมาส์เมาส์เป็น อุปกรณ์ที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อการใช้งาน ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้นด้วยการ ใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้ไปยังตำแหน่งต่าง ๆ บนจอภาพ ในขณะที่สายตาจับอยู่ที่จอ ภาพก็สามารถใช้มือลากเมาส์ไปมาได้ ระยะทางและทิศทางของตัวชี้จะสัมพันธ์และ เป็นไปในแนวทางเดียวกับการเลื่อนเมาส์
เมาส์แบ่งได้เป็นสองแบบคือ แบบทางกลและแบบใช้เแสง แบบทางกลเป็นแบบ ที่ใช้ลูกกลิ้งกลม ที่มีน้ำหนักและแรงเสียดทานพอดี เมื่อเลื่อนเมาส์ไปในทิศ ทางใดจะทำให้ลูกกลิ้งเคลื่อนไปมาในทิศทางนั้น ลูกกลิ้งจะทำให้กลไกซึ่งทำ หน้าที่ปรับแกนหมุนในแกน X และแกน Y แล้วส่งผลไปเลื่อนตำแหน่งตัวชี้บนจอ ภาพ เมาส์แบบทางกลนี้มีโครงสร้างที่ออกแบบได้ง่าย มีรูปร่างพอเหมาะมือ ส่วน ลูกกลิ้งจะต้องออกแบบให้กลิ้งได้ง่ายและไม่ลื่นไถล สามารถควบคุมความเร็วได้ อย่างต่อเนื่องสัมพันธ์ระหว่างทางเดินของเมาส์และจอภาพ เมาส์แบบใช้แสงอาศัย หลักการส่งแสงจากเมาส์ลงไปบนแผ่นรองเมาส์ (mouse pad)
แผ่นรองเมาส์ซึ่งเป็นตาราง (grid) ตามแนวแกน X และ Y เมื่อเลื่อนตัว เมาส์เคลื่อนไปบนแผ่นตารางรองเมาส์ก็จะมีแสงตัดผ่านตารางและสะท้อนขึ้นมาทำ ให้ทราบตำแหน่งที่ลากไปเมาส์แบบนี้ไม่ต้องใช้ลูกกลิ้งกลม แต่ต้องใช้แผ่น ตารางรองเมาส์พิเศษ การใช้เมาส์จะเป็นการเลื่อนเมาส์เพื่อควบคุมตัวชี้บนจอ ภาพไปยังตำแหน่งที่ต้องการแล้วทำการยืนยันด้วยการกดปุ่มเมาส์ ปุ่มกดบนเมาส์ มีความแตกต่างกัน สำหรับเครื่องแมคอินทอช ปุ่มกดเมาส์จะมีปุ่มเดียว แต่ เมาส์ที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มส่วนใหญ่จะ มี 2 ปุ่ม โดยทั่วไปปุ่มทางซ้ายใช้เพื่อยืนยันการเลือกรายการและปุ่มทางขวา เป็นการยกเลิกรายการ เมาส์บางยี้ห้ออาจเป็นแบบ 3 ปุ่ม ซึ่งเราไม่ค่อยพบใน เครื่องระดับพีซี ส่วนใหญ่จะเป็นเมาส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นสถานีงาน วิศวกรรม การเลือกซื้อเมาส์ควรพิจาณาจำนวนปุ่มให้ตรงกับความต้องการของ ซอฟต์แวร์ ในระดับเครื่องพีซีแนะนำให้ใช้เมาส์แบบสองปุ่มเพราะซอฟต์แวร์ เกือบทั้งหมดสนับสนุนใช้งานเมาส์ประเภทนี้

Credit :: http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=2770

พัณณิตา (นุ้ย)

แก้ MSN ส่งลิงก์มั่วอัตโนมัติ ง่ายนิดเดียว!!

ตัวอย่างข้อความอัตโนมัติใน MSN ซึ่งนอกจากการส่งลิงก์ ยังมีการส่งไฟล์แนบไวรัสมาด้วย ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต

เชื่อว่าชาว MSN ทุกคนล้วนเคยได้รับข้อความแนบลิงก์แปลกๆ จากเพื่อนเป็นภาษา อังกฤษ ที่มองผาดเดียวก็รู้ว่าเพื่อนเราไม่คิดจะพิมพ์ข้อความแบบนี้ส่งมาให้ แน่ๆ พอยิงคำถามถามไปเพื่อนก็เงียบ ไม่ยักจะตอบกลับมา หรือไม่ก็ออฟไลน์หนี ไปเลย

คุณสามารถสรุปได้เลยว่า ข้อความ MSN แนบลิงก์ “อะไรก็ไม่ รู้” นี้เป็นการส่งโดยอัตโนมัติ ซึ่งทางแก้ไขเบื้องต้นนั้นง่ายนิดเดียว

นั่นคือบอกให้เพื่อนรายนั้นลองเปลี่ยนรหัสผ่าน หรือพาสเวิร์ดอี เมลดูก่อน ซึ่งอาจหยุดการส่งลิงก์มั่วอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องเปลืองเวลาฟอร์ แมตเครื่อง หรืออัปเดตแอนตี้ไวรัส

ทำไมแก้ง่ายจัง

เหตุที่ทำให้การแก้ปัญหาง่ายๆ อย่างการเปลี่ยนรหัสผ่านสามารถแก้ ปัญหาการส่งข้อความ MSN อัตโนมัติได้ เป็นเพราะหลักการทำงานของการส่งข้อมูล อัตโนมัติเหล่านี้เกิดจากผู้ใช้อีเมลถูกดักจับพาสเวิร์ดจากโปรแกรมโทรจันที่ ฝังอยู่ในเครื่อง หรือไม่ก็บังเอิญไปกรอกรหัสไว้ในเว็บไซต์ที่มีแบบฟอร์มให้ กรอกข้อมูล-แบบสอบถามต่างๆ

เมื่อได้รหัสผ่าน โปรแกรมที่เรียกว่าบอต (Bot) จะทำ การ Log in เข้ามาเพื่อส่งข้อความหาสมาชิกในรายชื่อผู้ติดต่อ เมื่อส่งข้อ ความเสร็จก็จะทำการ Sign Out ออกไปและเข้าไปยัง ID อื่นๆ ที่มีพาสเวิร์ด อยู่

เท่ากับหากเราเปลี่ยนรหัสผ่าน พาสเวิร์ดเดิมที่โทรจันเหล่านี้มี ก็ไม่สามารถแอบล็อกอินแทนเราได้ และนี่คือคำตอบว่า ทำไมหลังการส่งข้อความ อัตโนมัติ ชื่อผู้ใช้งานอีเมลนั้นๆ จะออฟไลน์หลังจากส่งข้อความทันที

ต้องทำอะไรต่ออีก

หลังจากเปลี่ยนพาสเวิร์ดอีเมลแล้ว อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจว่าพาส เวิร์ดใหม่จะไม่ถูกขโมยไปใช้งานอีก ดังนั้นจึงควรหาโปรแกรมสแกนไวรัสมาค้นหา โทรจันที่แฝงอยู่ในเครื่องต่อไป

ฉะนั้น ใครที่รู้ตัวว่าถูกแอบอ้างส่งข้อความอัตโนมัติ และใครที่ มีเพื่อนชอบส่งข้อความแบบนี้มาให้ ก็ลองลงมือเปลี่ยนพาสเวิร์ดดูได้เลย อย่า นิ่งนอนใจว่าเว็บไซต์ที่แนบมาในข้อความอัตโนมัตินี้จะมีเว็บไซต์ธรรมดาที่ ไม่มีอันตราย ปะปนมากับเว็บไซต์ที่มีไวรัสแฝงตัวด้วย


credit :: http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=22585&sid=7291d19e20be98133e5d258b9d0b459d


พัณณิตา(นุ้ย)

วิธีต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ

โทรศัพท์มือถือหลายรุ่น หลายยี่ห้อ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ผ่านทาง GPRS/EDEG/3G แต่ติดปัญหาในเรื่องของขนาดของหน้าจอ ที่อาจจะเล็กไปสำหรับผู้ใช้งานหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย อีกทั้งไม่สะดวกในการ download file โปรแกรม เพื่อนำมาใช้งานอื่นๆ อีกด้วย
วันนี้ผมมีวิธีในการเชื่อมต่อมือถือ Nokia ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต มาเล่าสู่กันฟัง


อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์มือถือ
-คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ laptop
-โปรแกรม Nokia PC Suite
-โทรศัพท์ Nokia พร้อม USB Cable

วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์
1.ติดตั้งโปรแกรม Nokia PC Suite (ทำตามหน้าจอไปเรื่อยๆ)
2.ต่อสาย USB Cable ด้านหนึ่งกับโทรศัพท์ อีกด้านต่อเข้ากับ USB Port ของคอมพิวเตอร์
3.ที่หน้าจอมือถือ จะแสดงข้อความว่าจะเชื่อมต่อแบบใด (PC Suite, Printing & media, Data Strage) ให้เราเลือก PC Suite
4.ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในส่วนของโปรแกรม Nokia PC Suite ให้คลิกเลือกไอคอน Connect to the Internet ดังภาพประกอบ






5.จะมีหน้าต่างแสดง “One Touch Access” และโปรแกรมจะเชื่อมต่อให้ทันที
6.ถ้าต้องการยกเลิกให้คลิกปุ่ม “Disconnect





7.หลังจากเชื่อมต่อได้แล้ว จะมีไอคอนเล็กๆ แสดงการเชื่อมต่ออยู่บริเวณ Taskbar ขวามือด้านล่าง
8.ทดสอบเข้าโปแกรม Browser ที่คุณใช้งาน หรือลองเช็คอีเมล์ดูครับผม

CREDIT : http://www.it-guides.com/index.php/mobile-zone/76-mobile-tips-techniques/290-connection-internet-with-mobile

\/-๐๐Pri\/

10 สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดปัญหากับ Windows

1. ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่
หนี่งในวิธีแก้ ปัญหาที่ง่ายและมักจะได้ผลเสมอ คือการ Restart เครื่อง หรือเปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ เพราะระบบปฏิบัติการ Windows เมื่อทำงานได้สักระยะหนึ่งมันอาจจะสับสนอะไรบ้างอย่า งในตัวของมันเอง ทำให้มันแสดงพฤติกรรมแปลกที่ทำให้ผู้ใช้งานเกิดปัญหา ได้

2. เปิดเข้าไปดูที่ Action Center (เฉพาะ Windows 7 เท่านั้น)
ผู้พัฒนา Windows คงทราบดีว่า Windows นั้นมีปัญหามากมายที่แก้ไขเท่าไหร่ก็ไม่จบ ดังนั้นใน Windows 7 ซึ่งเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ทางผู้ัพัฒนาจึงได้คิดค้นระบบที่จะมาช่วยให้ผู้ใช้งา นอย่างเราๆ จัดการกับปัญหาของ Windows ได้ง่ายขึ้น ระบบที่ว่านี้ก็คือ Action Center ที่มีอยู่ใน Windows 7 นั่นเอง ใน หน้าต่างของ Action Center ให้คุณลองคลิกที่ปุ่ม Troubleshooting เมื่อคลิกแล้วระบบจะทำการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่คุณก ำลังเจออยู่ให้ อัตโนมัติ และถ้าหากเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อัตโนมัติระบ บก็จะขึ้นข้อความแนะนำ เพื่อให้คุณทราบว่าควรจะทำอะไรต่อไป

3. ลองอัพเดต Windows ดู
ปัญหา ที่คุณเจอ อาจจะเป็นปัญหาที่ไมโครซอฟต์บริษัทผู้ผลิต Windows ทราบอยู่แล้ว และได้สร้างตัวแก้ไขมาให้คุณไว้เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ของคุณคือคุณจะต้องเอาตัวแก้ไขเหล่านั้นมาติด ตั้งใน Windows ของคุณเพื่อตัดตอนปัญหาต่างๆที่คุณเจอ ระบบที่จะช่วยให้คุณอัพเดต Windows ได้อย่างง่ายๆ มีชื่อว่า Microsoft Windows Update ซึ่งในกระบวนการอัพเดตคุณจำเป็นจะต้องต่ออินเทอร์เน็ ตเอาไว้ด้วย เพื่อให้ระบบอัพเดตสามารถดาวโหลดตัวแก้ไขต่างๆจากเว็ บไซต์ของไมโครซอฟต์ได้

4. ลงไดรเวอร์ใหม่
หนึ่งใน วิธีที่จัดการกับปัญหาเรื่องไดร์เวอร์และฮาร์ดแวร์ ได้ชะงัก คือการติดตั้งไดรเวอร์ตัวใหม่ล่าสุด หรือถ้าไม่สามารถหาไดรเวอร์ตัวใหม่ล่าสุดได้ ก็ได้เอาไดรเวอร์ตัวเดิมนั่นแหล่ะติดตั้งกลับเข้าไปใ หม่อีกครั้งนึง เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหาของคุณได้อย่างได ้ผลเลยทีเดียววิธี การลงไดรเวอร์ตัวใหม่ คุณต้องเข้าไปที่ Device Manager ก่อน แล้วทำคลิกขวาเลือกฮาร์ดแวร์ที่คุณต้องการจะจัดการแก ้ปัญหา จากนั้นก็ให้คลิกเลือก Update Driver สำหรับการติดตั้งไดรเวอร์ตัวใหม่ล่าสุด หรือคลิกเลือก Uninstall เพื่อลบไดรเวอร์ที่ค้างอยู่ในระบบแล้วค่อยเอาไดร์เวอ ร์ที่คุณมีติดตั้งเข้า ไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง

5. ทำความสะอาดเครื่อง
ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นด้วย Disk Cleanupหนึ่ง ในตัวสร้างปัญหาให้กับ Windows คือการที่มีไฟล์ขยะรกเต็มเครื่องมากเิกินไป ดังนั้นการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นทิ้งเสียบ้างจะช่วยลดแล ะป้องกันปัญหาได้ ซึ่งใน Windows ก็มีเครื่องมือสำหรับช่วยลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจากเค รื่องได้อย่างอัตโนมัติ เครื่องมือที่ว่าก็คือ Disk Cleanup นั่นเอง

6. ใช้โปรแกรมตรวจสอบไฟล์ระบบ
หนึ่งในอาการที่สร้างปัญหาน่าปวดหัวใน Windows คืออาการไฟล์ระบบเสีย แต่โชคดีที่ Windows มีตัวสำหรับแก้ไขและซ่อมไฟล์ระบบมาให้ด้วย แต่โปรแกรมนี้จะต้องใช้งานในแบบ Command line เท่านั้น วิธีใช้ก็แค่เปิดหน้าต่าง Command โดยพิมพ์คำสั่ง cmd ลงในช่อง Run แล้วตามด้วยคำสั่ง "SFC /SCANNOW" (คำสั่งไม่ต้องมีเครื่องหมาย " นะครับ) สำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Vista และ Windows 7 ต้องเลือกเปิดหน้าต่าาง Command ด้วนสิทธิแบบ Administrator ก่อนนะครับถึงใช้คำสั่งนี้ได้

7. ลงโปรแกรมใหม่
ถ้าปัญหาใน Windows ของคุณเกี่ยวข้องกับโปรแกรมที่คุณติดตั้งเข้าไปล่ะก็ มีวิธีหนึ่งที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างชะงัก คือการลบและติดตั้งโปรแกรมใหม่ วิธีทำก็ไม่ยากครับ แค่ Uninstall โปรแกรมออกก่อน โดยคลิก Uninstall ในเมนูของโปรแกรม หรือใช้ Add/Remove Programs ใน Control Panel ก็ได้ หลังจากลบโปรแกรมทิ้งไปแล้ว ก็ให้เริ่มติดตั้งโปรแกรมใหม่อีกครั้ง เท่านั้นปัญหาของโปรแกรมของคุณน่าจะได้รับการแก้ไขแล ะตัวโปรแกรมก็จะกลับมา ใช้งานได้ดีดังเดิม

8. เข้าเว็บ Microsoft Fix-it
สำหรับปัญหาที่แก้ไม่ได้ง่ายๆ อย่างหน้าต่าง error ที่ขึ้นโค้ดประหลาดๆ (เช่น 0×80072EE4) คุณสามารถหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โดยเข้าไปขอความช่วยเหลือจากไมโครซอฟต์ที่เว็บ Microsoft Fix-it (http://support.microsoft.com/gp/cp_fixit_main) ในหน้าเว็บไซต์คุณสามารถเอาโค้ด error ไปค้นหาวิธีแก้ไขได้ หรือถ้าหมดหนทางจริงๆ คุณก็ยังสามารถติดต่อกับไมโครซอฟต์เพื่อคำแนะนำได้อี กด้วย

9. ค้นหาความช่วยเหลือจาก Google
เมื่อไมโครซอฟต์เริ่มพึ่งไม่ได้ เราคงต้องหันมาพึ่งตัวเองด้วยบริการค้นหาทันใจแบบทุก ซอกทุกมุมจาก Google ให้คุณลองใช้คำค้นที่สั้นและเฉพาะเจาะจงกับปัญหาที่ค ุณเจอ ถ้าจะให้ดีควรเลือกใช้คำค้นเป็นภาษาอังกฤษจะทำให้คุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่า แต่ถ้าหากคุณเป็นนักค้นหาที่ไม่ค่อยเก่งและยังไม่เก่ งภาษาอังกฤษอีกด้วย เราแนะนำให้ข้ามวิธีนี้ไปเลยครับ

10. แก้ไม่ได้ จนปัญญา ให้ลองลง Windows ใหม่ดู
วิธีสุดคลาสสิกที่แก้ไขปัญหาได้เกือบทุกอย่างคือการติดตั้ง Windows ใหม่ สำหรับวิธีนี้คุณยังมีทางให้เลือก 3 ทางคือ
1. ลง Windows แบบแก้ปัญหาตัวเดิม(หรือที่เรียกว่าลงแบบ Repair)
2. ลง Windows แบบทับตัวเดิม (หรือที่เรียกว่าลงแบบ Upgrade) ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้กับแผ่นติดตั้ง Windows บางแบบบางรุ่นเท่านั้นนะครับ ถ้าใส่แผ่น Windows เข้าไปในเครื่องของคุณในขณะใช้ Windows ตัวเดิมอยู่ แล้วตัวติดตั้งมันขึ้น Option ให้เลือกแบบ Upgrade แสดงว่าใช้วิธีนี้ได้ครับ
3. ลง Windows แบบล้างเครื่องลงใหม่ วิธีนี้ค่อนข้างจะโหดร้าย ยุ่งยาก และอาจทำให้ข้อมูลในเครื่องของคุณหายได้(ถ้าคุณไม่ได ้สำรองข้อมูลเอาไว้ก่อน ) แต่ก็จัดเป็นวิธีที่ได้ผลเป็นที่สุด ใครลองวิธีไหนแล้วไม่หายให้ลองวิธีนี้ดู รับประกันผลครับว่า Windows ของคุณจะกลับมาโลดเล่นเหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่แน่ นอน

cradit : www.mthai.com

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตัวแปรภาษาซี

ตัวแปรในภาษาซี

ตัวแปร (Variable) คือ การจองพื้นที่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลที่ต้องใช้ในการ ทำงานของโปรแกรม โดยมีการตั้งชื่อเรียกหน่วยความจำในตำแหน่งนั้นด้วย เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล ถ้าจะใช้ข้อมูลใดก็ให้เรียกผ่านชื่อของตัวแปรที่เก็บเอาไว้

ชนิดของข้อมูล
ภาษาซีเป็นอีกภาษาหนึ่งที่มีชนิดของข้อมูลให้ใช้งานหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งชนิดของข้อมูลแต่ละอย่างมีขนาดเนื้อที่ที่ใช้ในหน่วยความจำที่แตกต่าง กัน และเนื่องจากการที่มีขนาดที่แตกต่างกันไป ดังนั้นในการเลือกใช้งานประเภทข้อมูลก็ควรจะคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน ด้วย สำหรับประเภทของข้อมูลมีดังนี้คือ

1. ข้อมูลชนิดตัวอักษร (Character) คือข้อมูลที่เป็นรหัสแทนตัวอักษรหรือค่าจำนวนเต็มได้แก่ ตัวอักษร ตัวเลข และกลุ่มตัวอักขระพิเศษใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล 1 ไบต์
2. ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม (Integer) คือข้อมูลที่เป็นเลขจำนวนเต็ม ได้แก่ จำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ ศูนย์ ใช้พื้นที่ในการเก็บ 2 ไบต์
3. ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มที่มีขนาด 2 เท่า (Long Integer) คือข้อมูลที่มีเลขเป็นจำนวนเต็ม ใช้พื้นที่ 4 ไบต์
4. ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม (Float) คือข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ขนาด 4 ไบต์
5. ข้อมูลชนิดเลขทศนิยมอย่างละเอียด (Double) คือข้อมูลที่เป็นเลขทศนิยม ใช้พื้นที่ในการเก็บ 8 ไบต

ชนิด
ขนาดความกว้าง
ช่วงของค่า
การใช้งาน
Char
8 บิต
ASCII character (-128 ถึง 127) เก็บข้อมูลชนิดอักขระ
Unsignedchar
8 บิต
0-255 เก็บข้อมูลอักขระแบบไม่คิดเครื่องหมาย
Int
16 บิต
-32768 ถึง 32767 เก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม
long
32 บิต
-2147483648 ถึง 2147483649 เก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบยาว
Float
32 บิต

3.4E-38 ถึง 3.4E+38 หรือ ทศนิยม 6

เก็บข้อมูลชนิดเลขทศนิยม
Double
64 บิต
1.7E-308 ถึง 1.7E+308 หรือ ทศนิยม 12 เก็บข้อมูลชนิดเลขทศนิยม
Unsigned int
16 บิต
0 ถึง 65535 เก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม ไม่คิดเครื่องหมาย
Unsigned long
32 บิต
0 ถึง 4294967296 เก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบยาว ไม่คิดเครื่องหมาย

รูปแบบในการประกาศตัวแปรในภาษา C

การสร้าวตัวแปรขึ้นมาใช้งานจะเรียกว่า การประกาศตัวแปร (Variable Declaration) โดยเขียนคำสั่งให้ถูกต้องตามแบบการประกาศตัวแปร แสดงดังนี้

type name;

type : ชนิดของตัวแปร
name : ชื่อของตัวแปร ซึ่งต้องตั้งให้ถูกต้องตามหลักของภาษา C

การเขียนคำสั่งเพื่อประกาศตัวแปร ส่วนใหญ่แล้วจะเขียนไว้ในส่วนหัวของโปรแกรมก่อนฟังก์ชัน main ซึ่งการเขียนไว้ในตำแหน่งดังกล่าว จะทำให้ตัวแปรเหล่านั้นสามารถเรียกใช้จากที่ใดก็ได้ในโปรแกรม ดังตัวอย่าง

#include
int num; สร้างตัวแปรชื่อ num เพื่อเก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม
float y; สร้างตัวแปรชื่อ y เพื่อเก็บข้อมูลชนิดเลขทศนิยม
char n; สร้างตัวแปรชื่อ n เพื่อเก็บข้อมูลชนิดตัวอักขระ
void main()
{
printf("Enter number : ")
scanf("%d",&num);
printf("Enter name : ");
scanf("%f",&n);
printf("Thank you");
}

หลักการตั้งชื่อตัวแปร

ในการประกาศสร้างตัวแปรต้องมีการกำหนดชื่อ ซึ่งชื่อนั้นไม่ใช่ว่าจะตั้งให้สื่อความหมายถึงข้อมูลที่เก็บอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงอย่างอื่น เนื่องจากภาษา C มีข้อกำหนดในการตั้งชื่อตัวแปรเอาไว้ แล้วถ้าตั้งชื่อผิดหลักการเหล่านี้ โปรแกรมจะไม่สามารถทำงานได้ หลักการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา C แสดงไว้ดังนี้

1.
ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือเครื่องหมาย _(Underscore) เท่านั้น
2.
ภายในชื่อตัวแปรสามารถใช้ตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือตัวเลข0-9 หรือเครื่องหมาย _
3.
ภายในชื่อห้ามเว้นชื่องว่าง หรือใช้สัญลักษณ์นอกเหนือจากข้อ 2
4.
ตัวอักษรเลขหรือใหญ่มีความหมายแตกต่างกัน
5.
ห้ามตั้งชื่อซ้ำกับคำสงวน (Reserved Word) ดังนี้

auto
default
float
register
struct
volatile
break
do
far
return
switch
while
case
double
goto
short
typedef
char
else
if
signed
union
const
enum
int
sizeof
unsigned
continue
extern
long
static
void



ตัวอย่างการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา C ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องตามหลักการ แสดงดังนี้

bath_room ถูกต้อง
n-sync ผิดหลักการ เนื่องจากมีเครื่องหมาย - ปรากฎในชื่อ
108dots ผิดหลักการ เนื่องจากขึ้นต้นด้วยตัวเลข
Year# ผิดหลักการ เนื่องจากมีเครื่องหมาย # อยู่ในชื่อ
_good ถูกต้อง
goto ผิดหลักการ เนื่องจากเป็นคำสงวน
work ถูกต้อง
break ผิดหลักการ เนื่องจากเป็นคำสงวน

ตัวแปรสำหรับข้อความ

ในภาษา C ไม่มีการกำหนดชนิดของตัวแปรสำหรับข้อความโดยตรง แต่จะใช้การกำหนดชนิดของตัวแปรอักขระ (char) ร่วมกับการกำหนดขนาดแทน และจะเรียกตัวแปรสำหรับเก้บข้อความว่า ตัวแปรสตริง (string) รูปแบบการประกาศตัวแปรสตริงแสดงได้ดังนี้

char name[n] = "str";

name
ชื่อของตัวแปร
n
ขนาดของข้อความ หรือจำนวนอักขระในข้อความ
str
ข้อความเริ่มต้นที่จะกำหนดให้กับตัวแปรซึ่งต้องเขียนไว้ภายในเครื่องหมาย " "

ตัวอย่างการประกาศตัวแปรสำหรับเก็บข้อความ แสดงได้ดังนี้

char name[5] = "kwan" ; สร้างตัวแปร name สำหรับเก็บ ข้อความ kwan ซึ่งมี 4 ตัวอักษร ดังนั้น name ต้องมีขนาด 5
char year[5] = "2549"; สร้างตัวแปร year สำหรับเก็บ ข้อความ 2549 ซึ่งมี 4 ตัวอักษร ดังนั้น year ต้องมีขนาด 5
char product_id[4] = "A01"; สร้างตัวแปร product_id สำหรับเก็บ ข้อความ A01 ซึ่งมี 3 ตัวอักษร ดังนั้น product_id ต้องมีขนาด 4

Byte KB MB GB

KB ย่อมาจาก Kilobyte
ความหมาย : ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ มีค่าเท่ากับ 1024 ไบต์

MB ย่อมาจาก Megabyte
ความหมาย : ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถเก็บตัวอักษรได้ 1 ล้านตัว หรือมีค่าเท่ากับ 2 ยกกำลัง 20 = 1,048,567 BYTES หรือเท่ากับ 1024 กิโลไบต์

Kilobyte อักษรย่อ KB
ความหมาย : ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ มีค่าเท่ากับ 1024 ไบต์

Megabyte อักษรย่อ MB
ความหมาย : ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถเก็บตัวอักษรได้ 1 ล้านตัว หรือมีค่าเท่ากับ 2 ยกกำลัง 20 = 1,048,567 BYTES หรือเท่ากับ 1024 กิโลไบต์

Gigabyte อักษรย่อ GB
ความหมาย : ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ มีค่าเท่ากับ 1024 MB

ทีนี้ จำง่าย ๆ ก็คือ
1 Byte (ไบต์) = 1 ตัวอักษร
1 KB (กิโลไบต์) = 1024 ตัวอักษร
1 MB (เมกกะไบต์) = 1024 KB
1 GB (กิกะไบต์) = 1024 MB

ดังนั้น หน่วยของ GB จึงมีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งถ้า เป็น Memory Card ที่คุณต้องการจะซื้อ ก็ตงต้องเป็น 1 GB, 2GB ซึ่งปัจจุบันก็ผลิตออกมาให้ได้ความจุมากขึ้นเรื่อย ๆ

ram ก็แบ่งออกเป็น 3 ประเภทในปัจจุบันที่ใช้งานอยู่และหาซื้อได้ คือ
sd ram มี 32 , 64 , 128 , 256
mbddr ram มี 128 , 256 , 512 mb , 1 GB , 2 GB
ddr2 ram มี 256 , 512 mb , 1 GB , 2 GB

credit : http://junjao.com/board/index.php?board=1;action=display;threadid=49

-*ป๋วย*-

เรื่องจริง หรือเเค่ ตื่นเต้นไป '2012'

based on 10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง) from manager online

อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง
- ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่ ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น
- 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844 เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆ กับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง
- ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย”
- ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คนหนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆ คนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆ บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว”
- ปี 1982 วันพิพากษา ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรคริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึงวันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์
- ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้ แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997
- เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก
- “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่ ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000 ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000
- ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์ “ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก” ทว่า วัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่าที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ

ไม่ว่าจะยังไง ก็ช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู๋ ต่อไปนะคะ ^^
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

credit :http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000143923

-*ป๋วย*-

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บลูเรย์

บลูเรย์

บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nm ของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm

ประวัติ

มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB

ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2 เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB

ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที โดยมี นักวิทยาศาสตร์จาก NASA เป็น ผู้พัฒนาต่อจาก ระบบบันทึกข้อมูลที่ใช้ในโครงการอวกาศ

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C

เมธี Boat 5115078

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มหัศจรรย์แห่งชีวิต... หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
( ๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
( ๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
( ๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
( ๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน/เรียน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน รู้จักแบ่งเวลาให้งาน/เรียน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์ ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี ?
( ๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
( ๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
( ๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร ?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ? !
( ๑) รู้ว่างานเยอ??ต้องรีบทำ
( ๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
( ๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
( ๑) หางานใหม่
( ๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
( ๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
( ๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี ?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร ?
( ๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
( ๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
( ๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
( ๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
( ๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
( ๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
( ๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
( ๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
( ๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
( ๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
( ๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
( ๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์ ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน

"กูเกิลพีซี"บูตเครื่องได้ใน7วินาที

กูเกิลโชว์ของ เปิดฉากสาธิต"โครมโอเอส (Chrome OS)"ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการใหม่ฝีมือกูเกิลที่การันตีว่าจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเปิดเครื่องพร้อมใช้งานได้รวดเร็วไม่ต่างกับการเปิดโทรทัศน์ ซุ่มพัฒนามา 4 เดือนพร้อมโชว์หน้าตาโปรแกรม ระบุยังต้องรอถึงปลายปีหน้ากว่า"กูเกิลพีซี"หรือคอมพิวเตอร์พกพาที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการกูเกิลจะวางตลาด

โอเอสหรือระบบปฏิบัติการนั้นเป็นซอฟต์แวร์พื้นฐานที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมี การแจ้งเกิดโปรแกรมระบบปฏิบัติการโครมทำให้กูเกิลกลายเป็นคู่แข่งกับผู้จำหน่ายระบบปฏิบัติการที่มีอยู่แล้วในตลาดเช่น ไมโครซอฟท์ (Microsoft) และแอปเปิล (Apple) ฯลฯ โดยจุดขายหลักของระบบปฏิบัติการของกูเกิล คือการก้าวข้ามฮาร์ดไดร์ฟคอมพิวเตอร์ ไปทำงานแบบเบ็ดเสร็จบนอินเทอร์เน็ตแทน

ล่าสุด รูปลักษณ์ของโครมโอเอสถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกต่อสาธารณชนแล้ว โปรแกรมมีลักษณะเหมือนการเปิดเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไปมากกว่าโอเอสปกติ ด้านบนประกอบด้วยแท็บสำหรับเข้าสู่บริการเมล งานเอกสาร เกม และอื่นๆ จากการสาธิต ผู้ใช้จะสามารถฟังเพลง ส่งข้อความสนทนา หรือส่งวิดีโอถึงเพื่อนได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนหน้าจอ เนื่องจากจะมีหน้าจอขนาดจิ๋วปรากฏจากด้านล่างของจอภาพ

มีการวิจารณ์ว่าหน้าตาโปรแกรมที่ดูเหมือนเว็บเบราว์เซอร์นี้เหมาะมากในการผลักดันให้ผู้บริโภคทุกคนเข้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นถิ่นของพี่ใหญ่กูเกิล

กูเกิลระบุว่า โครมโอเอสจะเริ่มเปิดให้ใช้งานได้ในช่วงเทศกาลปลายปี 2010 ในรูปแบบคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กหรือเน็ตบุ๊กที่มีส่วนประกอบซึ่งได้มาตรฐานของกูเกิล เช่น การใช้ชิปเก็บข้อมูลแทนฮาร์ดไดร์ฟ ซึ่งสามารถเรียกใช้งานข้อมูลได้เร็วกว่า โดยเน็ตบุ๊กโครมโอเอสจะสามารถเปิดได้เพียงแอปพลิเคชันออนไลน์เท่านั้น และข้อมูลของผู้ใช้จะถูกเก็บรักษาไว้บนอินเตอร์เน็ตผ่านระบบคลาวด์คอมพิวติงของกูเกิลโดยอัตโนมัติ

คุณสมบัติของโครมโอเอสทั้งหมดนี้ถูกนักวิเคราะห์มองว่า กูเกิลพีซีนี้คือคอมพิวเตอร์สำหรับการเปิดเว็บอย่างแท้จริง หมดสิทธิ์สำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และไร้ร่องรอยซอฟต์แวร์โลกเก่าอย่างไมโครซอฟท์โดยสิ้นเชิง

ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ผู้จัดการผลิตภัณฑ์โครมโอเอสเป็นผู้ให้ข้อมูลว่า พีซีที่ใช้โครมโอเอสนั้นจะสามารถทำงานหลังกดปุ่มเปิดเครื่องเพียง 7 วินาที เมื่อเปิดแล้วเครื่องจะออนไลน์โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอปพลิเคชันออนไลน์นานาชนิด ไม่ต่างกับการเปิดทีวีแล้วเครื่องสามารถรับสัญญาณภาพโทรทัศน์ได้ทันที ซึ่งเครื่องจะรอให้เจ้าของกดรีโมทเปลี่ยนช่องตามใจอยาก

แม้จะเปิดให้ผู้บริโภคใช้งานแอปพลิเคชันได้ฟรี แต่นี่คือช่องทางสำคัญที่จะทำให้กูเกิลมีโอกาสทำเงินจากธุรกิจโฆษณาได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยตลอดปีที่ผ่านมา กูเกิลสามารถทำรายได้จากโฆษณาออนไลน์ได้ถึง 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

พิชัยระบุว่า กูเกิลนั้นเปิดเผยโค้ดของโครมโอเอสแล้ว นักพัฒนาจำนวนมากจึงเริ่มต้นสร้างแอปพลิเคชันเพื่อรันบนโครมโอเอสแล้วในขณะนี้

มด

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

CD-R , CD-RW คืออะไร
CD-R คือชื่อย่อของ CD-Recordable แผ่น CD ซึ่งสามารถถูกบันทึกข้อมูล หรือ เขียน ได้เพียงหนึ่งครั้งแต่อ่านได้หลายครั้ง WORM (Write Once, Read Multiple) เช่นเดียวกับแผ่น CD-ROM ทั่วไป ข้อดีของแผ่น CD-R คือเราสามารถใช้แผ่นนี้ กับ เครื่องเล่น CD มาตรฐานทั่วไปได้ ส่วนข้อเสีย คือแผ่นที่ทำการเขียนแล้ว ไม่สามารถนำกลับเขียนอีกได้แผ่น CD อีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า CD-RW คือ CD-Rewritable ซึ่งสามารถลบข้อมูลในดิสก์ และนำกลับมาบันทึกซ้ำลงไปใหม่ได้ แต่ แผ่น CD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องเล่น CD ธรรมดาไดร์วของเครื่องบันทึกข้อมูล (CD-Rewritable drives)สามารถเขียน(บันทึก) ได้ทั้งแผ่น CD-R และแผ่น CD-RW

ซึ่ง DVD-RW ก็จะมี function คล้ายๆกับ CD-RW คือ สามารถเขียนทับได้ เเละ คุณลักษณะอื่นๆ ก็จะเหมือน DVD ทั่วไป

DVD-RAM เป็นแผ่นดีวีดีประเภทหนึ่ง มีความจุ 4 แบบ คือ 2.6, 4.7,5.2 และ 9.4GB สามารถเขียนและลบได้หลายครั้งคล้ายกับแผ่น CD-RW และDVD-RW สามารถที่จะนำข้อมูลไปเขียนไว้ในส่วนใดก็ได้ของแผ่น คล้ายกับฮาร์ดดิสก์ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนหรือลบทั้งแผ่น แต่ DVD-RAM ต้องใช้เครื่องเล่นสำหรับแผ่น DVD-RAM เท่านั้น จึงจะอ่านและบันทึกข้อมูลได้ โดยทั่วๆไป DVD-RAM จะอยู่ในกล่อง บางครั้งเรียก caddy ซึ่งเราไม่สามารถนำแผ่น DVD-RAM ออกมาจาก caddy ได้คะ นอกจากนี้ DVD-RAM เหนือกว่า DVD-RW ตรงสามารถบันทึกซ้ำได้จำนวนครั้งที่มากกว่า ซึ่งผู้ผลิตประมาณว่า DVD-RAM สามารถบันทึกซ้ำได้ถึง 100,000 ครั้ง ในขณะที่ DVD-RW สามารถบันทึกซ้ำได้เพียง 1,000 ครั้งเท่านั้น
DVD RAM มีทั้นหมด 4 ชนิดคือ
DVD-R สามารถเขียนได้ ไม่สามารถเขียนต่อได้ ไม่สามารถลบได้
DVD+R สามารถเขียนได้ สามารถเขียนต่อได้ ไม่สามารถลบได้
DVD-RW สามารถเขียนได้ ไม่สามารถเขียนต่อได้ สามารถลบได้
DVD+RW สามารถเขียนได้ สามารถเขียนต่อได้ สามารถลบได้

credit : http://panthai.com/panstar/q&a.htm

http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=288e6185cc224362

~*ป๋วย*~

การเลือกซื้อแรม (RAM) หรือหน่วยความจำหลัก

-การเลือกซื้อแรมปัจจุบัน นอกจากจะต้องดูกันที่ความจุความเร็วแล้ว หลายคนยังมองไปที่สัปดาห์ที่ผลิต รวมถึงเม็ดแรมที่นำมาใช้อีกด้วย โดยเฉพาะกับบรรดาเซียนคอมพ์ทั้งหลาย ที่แทบจะเอากล้องส่งอพระมาส่องกันเลยทีเดียว แต่สิ่งเหล่านี้ คงต้องยกให้กับเหล่ามืออาชีพกันไป ส่วนผู้ที่กำลังมองหาไว้ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว สำหรับการเลือกแรมมีหลักง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่อาจใส่ใจอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่

-ดูจากเมนบอร์ดที่ใช้อยู่ ปัจจุบันชัดเจนว่าแรมที่มีอยู่ในตลาดและใช้กันอยู่โดยทั่วไป มีอยู่ 3 รูปแบบคือ DDR, DDR2 และ DDR3 โดยที่แต่ละแบบก็ใช้งานกับแพลตฟอร์มต่างกันออกไป กล่าวคือ DDR (184-pins) จะทำงานร่วมกับชิปเซตรุ่นเก่าของทั้ง Intel ตระกูล 845, 865 และใน VIA P4M บางรุ่น สำหรับ AMD ก็มีตั้งแต่ nForce2, nForce3, GeForce 6100/6150 แต่เวลานี้ก็แทบจะลาจากตลาดไปอย่างถาวร ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนสำหรับการอัพเกรด ประกอบด้วย DDR400/333/266 (PC3200/2700/2100) ส่วน DDR2 (240-pins) นับว่ายังคงเป็นแรมยอดนิยม ที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อีกนานพอสมควร ใช้กับชิปเซตทั้งหลายที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอินเทล 915, 925, 945, 955, 965, 975, G31, G33, P35, X38 และ X48 รวมไปถึง 680i/ 780i ส่วนทาง AMD ก็ใช้ได้กับ nForce4, nForce 5xx Series, 690G, nForce 750/770/790FX Series ซึ่งก็มีให้เลือกตั้งแต่ DDR2 800/667/533 (PC6400/5300/4200) นับเป็นแรมที่มีราคาค่อนข้างถูก มีให้เลือกตั้งแต่แถวละ 512MB, 1GB และ 2GB ล่าสุดกับ DDR3 (240-pins) ที่ยังถือว่าเป็นแรมที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร รวมถึงราคาจำหน่ายด้วยเช่นกัน เนื่องจากยังไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่เท่าใดนัก ส่วนชิปเซตจากอินเทลจะมีเพียง X48 ที่รองรับการทำงานอย่างเต็มตัว แต่ผู้ผลิตก็ยังมีในแบบ DDR2 มาให้ใช้ด้วย ส่วนทาง AMDจะมีในรุ่น AMD 790i ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ที่ออกมารองรับการทำงานกับ DDR3 โดยจะมีความเร็วที่ DDR3 1333 และ DDR3 1066 (PC10600/8500)
เลือกที่ความจุและขนาดที่ต้องการ ให้ดูจากปริมาณการทำงานและแอพพลิเคชันที่ใช้เป็นหลัก หากการใช้งานทั่วไปร่วมกับวินโดวส์เอ็กซ์พีแล้ว ความจุที่512MB ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้ามีความต้องการในเรื่องของเกมสามมิติและโปรแกรมตกแต่งภาพแล้ว ความจุที่มากกว่า 1GB จะช่วยให้มีความลื่นไหลมากขึ้น ส่วนถ้าหากจำนำไปใช้กับงานระดับ Workstation ความจุที่ 2-4GB ก็ดูจะเป็นขนาดที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่แรม DDR2 ราคาถูกเช่นนี้ การอัพเกรดความจุให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย

-เลือกแบบ Single ความจุสูงแถวเดียวหรือ Dual ความจุเท่ากัน 2 แถวดี ในความเป็นจริงทั้ง 2 แบบก็ถือว่าถูกเหมือนกัน แต่อาจต้องมาคิดคำนวณ ระหว่างราคากับประสิทธิภาพ ในปัจจุบันนี้ ต้องไม่ลืมว่าการทำงานในโหมด Dual Channel ที่เป็นแบบแรมสองแถวคู่ มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมไม่น้อยกว่า 20% แต่นั่นหมายถึงมีอัตราค่าใช้จ่ายสูงกว่าการซื้อแรมแบบแถวเดียว ในความจุเท่ากัน อย่างเช่นกรณี Corsair VS 512MB x 2 (Kit) ราคา 460 บาท แต่ถ้า 1 GB แถวละ 730 บาท (เดือนมกราคม) แต่แบนด์วิดธ์ที่ได้จะต่างกัน การใช้แถวคู่ก็แน่นอนว่าจะต้องเสียสล็อตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่อง การอัพเกรดก็น้อยลง ดังนั้นแล้วก็ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

-องค์ประกอบอื่นๆ ในส่วนขององค์ประกอบพิเศษก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการระบายความร้อน ซึ่งหลายค่ายนิยมติด Heat Spreader ที่ช่วยในการระบายความร้อนมาให้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่มมูลค่าได้ไม่น้อยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการติดฮีตชิงก์ให้กับแรมนี้ควรจะต้องมั่นใจว่ามีการระบายความร้อนที่ดีด้วยเช่นกัน เช่นการปรับทิศทางลมให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะสะสมความร้อน จนเกิดอันตรายต่อแรมได้เช่นกัน แต่ปัจจุบันก็มีพัดลมสำหรับสล็อตแรมมาจำหน่ายเช่นกัน

-การรับประกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นแรมอุปกรณ์ไม่กี่ชนิด ที่ใช้การรับประกันแบบ Life Time Warranty มาเป็นจุดขาย แต่ก็คงต้องทำความเข้าใจกับรูปแบบการรับประกันดังกล่าวนี้ด้วย การรับประกันตลอดชีพ จะหมายถึงการรับประกันไปจนถึงช่วงที่สิ้นสุดการผลิตของแรมรุ่นดังกล่าวเท่านั้น แต่ถ้าเกิดมีปัญหาหลังจากนั้น ทางผู้จัดจำหน่าย อาจให้เลือกเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น อาจเป็นรุ่นที่ดีกว่าหรือถูกกว่า รวมถึงในบางครั้งอาจต้องจ่ายส่วนต่างด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการตกลงกันของผู้ซื้อและผู้จำหน่าย ส่วนเงื่อนไขการรับประกันให้ตกลงกับผู้จำหน่ายให้เป็นที่เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่การรับประกันจะไม่รวมไปถึง การแตกหักเสียหาย เม็ดแรมหลุดหรือบิ่น จะมีเพียงบางค่ายที่ยอมรับได้ในเรื่องการไหม้ รวมถึงการเก็บใบเสร็จหรือใบรับประกันไว้ให้เรียบร้อย สำหรับการยืนยันกับร้านค้า หากเกิดปัญหาในขั้นตอนการเคลม

ข้อมูลจาก : หนังสือช่างคอมพ์เลือกซื้ออุปกรณ์ COMPUTER.TODAY


>*< เอามาฝากกัน!!

sarunya (yamm)---:)

7 วิธีการกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์

ถ้าพูดถึงส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่คุณใช้งาน คุณคิดว่ามันคือส่วนไหนครับ? บางคนอาจจะบอกว่าเป็นซีพียู เพราะมันคือตัวประมวลผลข้อมูลทั้งหมด บางคนอาจจะบอกว่ามันคือแรม หรือบางคนอาจจะบอกว่ามันคือการ์ดจอแรงๆ ซักตัว แต่ผมว่า หลายคนมองข้ามส่วนประกอบที่สำคัญมากไปส่วนหนึ่ง นั่นคือ “ฮาร์ดดิสก์” ยังไงล่ะครับ ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าฮาร์ดดิสก์นั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลจนบางครั้งไม่สามารถตีค่าได้ เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ ผมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่จานแม่เหล็กอันบอบบางที่หมุนไปหมุนมา แต่ผมกำลังหมายรวมถึงข้อมูลสำคัญๆ ของคุณที่อยู่ในนั้นด้วยนั่นเอง
โลกของฮาร์ดดิสก์คงปฏิเสธไม่ได้ว่าฮาร์ดดิสก์นั้นถือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่จะต้องมีไว้ ประจำในทุกๆ เครื่องอยู่แล้ว เพื่อสำหรับเก็บข้อมูลตั้งแต่ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ลินุกซ์ หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ ก็ตาม รวมไปจนถึงโปรแกรมที่คุณต้องใช้ก็ต้องมีการติดตั้งลงในเครื่องด้วยเช่นกัน และส่วนที่สำคัญที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกเสียจาก “ข้อมูล” นั้นเอง ดังนั้นเมื่อดูจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าฮาร์ดดิสก์นั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องเลย ก็ว่าได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันแล้วล่ะก็ อาจจะต้องนำตาตกเป็นแน่
พื้นฐานโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นส่วนของจานเหล็กที่เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ทำให้มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กที่อยู่บนพื้นผิวจานได้ และนั่นก็คือที่มาของการบันทึกข้อมูล โดยการเปลี่ยนแปลงสนามเหล็กให้การเป็นรูปแบบข้อมูลดิจิตอล (0 หรือ1, เปิด หรือ ปิด) โดยหน้าที่นี้เป็นของหัวอ่าน-เขียน ซึ่งจะลอยอยู่เหนือแผ่นจานแม่เหล็กเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อมูลที่เรียงกันอยู่บนจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์จึงมีปริมาณมาก มายมหาศาล
โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากๆ ลองคิดดูซิครับว่าเราจะต้องมีจุดข้อมูลที่บันทึกบนจานแม่เหล็กกี่จุด จึงจะสามารถบันทึกข้อมูลได้ในระดับร้อยกิกะไบต์หรืออาจจะถึงระดับเทราไบต์ และจุดเหล่านั้นจะต้องเล็กและเรียงชิดติดกันขนาดไหน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์กลายเป็นชิ้นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนและบอบ บางที่สุดชิ้นหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์เลย
Platter หรือจากแม่เหล็กที่ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลในฮาร์ดดิสก์
อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก็คือ ส่วนของแผงวงจรควบ คุมการทำงาน ซึ่งส่วนนี้จะคอยทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งการควบคุมหัวอ่านเขียนให้สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างถูกต้องด้วย โดยเจ้าแผงวงจรนี้ก็จะมีหน้าตาเป็นแผงวงจรแปะติดกับตัวฮาร์ดดิสก์มา มีชิปคอนโทรลเลอร์และแรมซึ่งทำหน้าที่เป็น Buffer ให้กับการส่งข้อมูลด้วย ถ้าหากแผงวงจรควบคุมนี้เกิดเสียหายขึ้นมา ก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำงานได้เช่นกันครับ
จะเอาอะไรมากู้ข้อมูลเวลาที่เราลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ข้อมูลต่างๆ ก็ควรจะต้องหายไปถูกต้องไหมครับ แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าในเมื่อข้อมูลต่างๆ มันหายไปแล้ว แล้วมันถูกกู้คืนกลับมาได้อย่างไร ความจริงแล้วคอมพิวเตอร์นั้นแอบขี้โกงเราอยู่เหมือนกันครับ เนื่องจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างฮาร์ดดิสก์เองก็จะทำงานหรือเก็บบันทึกข้อมูล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กบนจานเพื่อบันทึกค่า ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเขียน-อ่านอยู่พอสมควร ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วในการลบข้อมูล ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ แต่จะถูกมาร์กเอาไว้ในระบบไฟล์ว่าข้อมูลในส่วนนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว ทั้งที่จริงแล้วข้อมูลก็ยังคงอยู่ที่เดิมของมันอยู่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราสร้างไฟล์ 1กิกะไบต์ จึงช้ามาก ในขณะที่ลบไฟ 1กิกะไบต์ นั้นเร็วจนแทบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว
ดังนั้นแล้วข้อมูลต่างๆ ของเราก็อาจจะยังคงอยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้ นั่นหมายความว่าเรายังพอมีสิทธิที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดไว้ให้กลับคืนมา ดังเดิมได้อยู่ และนี่คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลสำคัญๆ คืนมา
1.กู้ไฟล์ที่เผลอลบไปเคยเป็นไหมครับเวลาที่เราทำงานอยู่แล้วรีบๆ บางครั้งเราก็อาจจะเผลอกดลบไฟล์งานเอกสารสำคัญๆ ของเราไปด้วย ซึ่งคุณอาจจะบอกว่าไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อสั่งลบไปแล้ว มันก็จะไปอยู่ในถังขยะหรือว่าเจ้า Recycle Bin แทน จริงอยู่ครับว่าไฟล์ที่ถูกลบไป มันจะถูกย้ายไปไว้ในถังขยะ แต่สำหรับคนที่ต้องการทำงานแบบรวดเร็วจนติดเป็นนิสัย ก็เลยลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว (Shift+Del) งานนี้ข้อมูลของคุณไม่ได้อยู่ในขยะแน่นอนครับ นอกจากนี้กรณีที่คุณเผลอลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ถังขยะจะสามารถรับ ได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไฟล์ของคุณจะได้รับสิทธิในการลบข้อมูลไปเลยโดย ไม่ต้องผ่านถังขยะด้วยเช่นกัน
ขนาดถังของ Recycle Bin ที่คุณกำหนดไว้อาจจะไม่ใหญ่เพียงพอ ทำให้ไฟล์ถูกลบไปเลยก็ได้
คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะครับ ในเมื่อไฟล์ที่เราลบไปไม่ได้อยู่ในถังขยะอีกแล้ว ใจเย็นๆ ครับ เหตุการณ์มันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่างที่เราบอกไว้ครับ ว่าข้อมูลของคุณจริงๆ นั้นยังไม่ได้ถูกลบไปไหน แต่ยังคงถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์อยู่ ซึ่งในตอนนี้ผมขอพูดถึงการกู้ในลักษณะนั้นไว้ภายหลังเนื่องจากเป็นกระบวนการ ที่ค่อนข้างเสียเวลานานครับ ในเมื่อเรารู้ว่าเราเพิ่งจะลบไฟล์ไปเมื่อตะกี้นี้เอง ดังนั้นวิธีการกู้ที่ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นโปรแกรมประเภท Undeleted ทั้งหลายที่พอจะช่วยคุณได้ แต่ข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือคุณจะต้องติดตั้งโปรแกรมก่อนที่คุณจะลบ ไฟล์นะครับ
หลักการทำงานของโปรแกรมประเภทนี้อยู่ที่การคอยสอดส่องว่าคุณมีการทำงานกับ ไฟล์อะไรบ้าง มีการลบไฟล์อะไรไปบ้าง แล้วมันจึงแอบเก็บข้อมูลของไฟล์ที่คุณลบเอาไว้เอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นการทำหน้าที่ Recycle Bin อย่างลับๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งคราวนี้เราก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ที่เราเพิ่งลบไปให้กับมาอยู่ในอ้อมอกของ เราได้เหมือนเดิมครับข้อจำกัดของรูปแบบการกู้คืนข้อมูลแบบนี้ก็คือโปรแกรมที่ใช้สำหรับการ Undeleted นี้จะต้องติดตั้งโปรแกรมลงไปก่อน เพื่อที่จะจะได้ให้มันคอยตรวจสอบไฟล์ที่เราเพิ่งสั่งลบไป และคอยเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้ว คุณก็จะต้องยอมเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของ ไฟล์ บางโปรแกรมกินพื้นที่เยอะ เพราะใช้วิธีการแบ็กอัพไฟล์เอาไว้เลย หรือบางโปรแกรมอาจจะใช้วิธีการเก็บ Log การลบไฟล์เอาไว้ แล้วสั่งถอดมาร์กที่ระบบปฏิบัติการได้ทำไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกลบ ออกไปก็จะกินพื้นที่น้อยกว่า แต่มันก็จะคล้ายๆ กับการกู้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่เรากำลังจะพูดในส่วนต่อๆ ไปอยู่ดี
2.ฟอร์แมตไดรฟ์ไป จะกู้กลับมาได้ไหมสำหรับผู้ที่ชอบลงโปรแกรมเอง หรือติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง (อย่างผมเป็นต้น) และมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการไว้หลายๆ ตัว (มีหลายไดรฟ์) คงจะมีบ้างที่เกิดฟอร์แมตผิดไดรฟ์ หรือถ้าจะให้ดูใกล้ตัวกว่านั้นอาจจะเป็นกรณีที่ว่าคุณต้องการฟอร์ แมตลงวินโดวส์ใหม่อยู่แล้ว หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ล้างเครื่อง” หลังจากสั่งฟอร์แมตและเตรียมตัวจะลงระบบปฏิบัติใหม่นั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายัง มีไฟล์งานสำคัญที่ยังไม่ได้แบ็คอัปอยู่ งานนี้จะทำยังไงล่ะเนี่ยะ ฟอร์แมตก็ทำไปแล้ว แถมโปรแกรม Undeleted ก็ช่วยไม่ได้อีกต่างหาก
ฮาร์ดดิสก์ที่มีพาร์ทิชันหลายอัน บางครั้งคุณอาจจะเลือก Format ผิดไดรฟ์บ้างก็เป็นได้
โปรแกรม GetDataBack ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับการกู้ข้อมูลโดยการสแกนฮาร์ดดิสก์ในทุกๆ ตารางนิ้วงานนี้มีอะไรที่พอจะช่วยคืนชีพข้อมูลต่างๆ ที่ถูกฟอร์แมตไปแล้วได้หรือไม่ คำตอบก็คือมีครับ เพราะอย่างที่เราบอกไว้ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เราสั่งลบไปนั้นไม่ได้มีการถูกลบไปจริงๆ เพียงแต่จะเป็นการมาร์กเอาไว้ว่าข้อมูลนั้นๆ ถูกลบไปแล้ว การฟอร์แมตก็คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะการฟอร์แมตแบบรวดเร็ว (Quick Format) ด้วยแล้ว มันก็เหมือนกับการลบไฟล์ทุกไฟล์ออกไปจากไดรฟ์นั้นเองครับ ในขณะที่การฟอร์แมตแบบเต็ม (Full Format) ดูจะเป็นอะไรที่สาหัสกว่า แต่ก็สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้อยู่ดี เพราะข้อมูลที่ถูกสั่งลบนั้น ผ่านการลบแบบลวกๆ จึงยังทำให้เห็นเค้าโครงของข้อมูลเดิมอยู่โปรแกรมที่ใช้ในการกู้ข้อมูลในลักษณะนี้ก็มีอยู่หลายตัวทีเดียวอย่างเช่น GetDataBack ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้มันจะคอยสแกนหาข้อมูลต่างในฮาร์ดดิสก์ของคุณทั้งหมด โดยไม่สนข้อมูลจากระบบไฟล์
ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการมองไม่เห็นหรือก็คือข้อมูลที่ถูกลบไปแล้วนั่นเองครับข้อจำกัดของโปรแกรมประเภทนี้ก็มีอยู่เหมือนกันครับ เพราะใช่ว่ามันจะสามารถกู้ได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้านะครับอย่างแรกเลยก็คือ มันไม่สามารถกู้ข้อมูลที่ถูกเขียนทับไปแล้วได้ เนื่องจากมันอาศัยการกู้จากเศษข้อมูลที่หลงเหลืออยู่ในดิสก์
ดังนั้นถ้าหากว่ามีการเขียนข้อมูลทับในจุดที่มีข้อมูลไปแล้ว ข้อมูลส่วนนั้นๆ ก็จะไม่สามารถกู้คืนได้นะครับ อย่างเช่นหลังจากฟอร์แมตไปแล้วอาจจะสามารถกู้คืนได้ครบทั้งหมด แต่ถ้าติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ทับลงไปแล้วก็อาจจะทำให้ข้อมูลบางส่วนไม่ สามารถกู้คืนมาได้อีกกรณีหนึ่งที่ไม่สามารถกู้คืนได้ก็คือกรณีของการ Low Level Format ซึ่งถือว่าเป็นการฟอร์แมตที่ล้างข้อมูลได้อย่างสะอาดที่สุด เพราะจะมีการจัดรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กใหม่ โดยใช้หลักการเขียนข้อมูลที่เป็น 1 และตามด้วย 0 ไปลงในทุกๆ Sector ข้อมูล ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือถูกเขียนทับด้วยข้อมูลเปล่าทั้งหมดนั้นเอง ดังนั้นถ้า Low Level Format ไปแล้วก็หมดสิทธิครับ แต่ถึงอย่างไรคุณก็คงจะไม่ได้ทำ Low Level Format บ่อยอยู่แล้วจริงไหมครับ
3.กู้พาร์ทิชันที่เสียหายความแน่นอนคือความไม่แน่นอนครับ บางวันคุณอาจจะตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย มาเจอฝันร้ายกว่า เพราะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วบูตไม่ขึ้น รวมถึงยังไม่สามาถเข้าไปเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ทั้งจากฮาร์ดแวร์ (ฮาร์ดดิสก์เสียไปเลย) หรืออาจจะเป็นจากซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือเป็นเพียงแค่โครงสร้างข้อมูลของไดรฟ์ หรือพาร์ทิชันเสียหาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเสียด้วยส่วนใหญ่ปัญหาที่เป็นสาเหตุทำให้พาร์ทิชันสำหรับเก็บข้อมูลของคุณเกิดปัญหา ขึ้นก็คือ การเกิดความเสียหายขึ้นกับระบบไฟล์ ซึ่งเจ้าระบบไฟล์นี้จะเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ชี้ไปยังตำแหน่งของข้อมูลจริงๆ ที่อยู่บนไดรฟ์ คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่าถ้าเกิดความเสียหายที่ตัวข้อมูล มันก็อาจจะทำให้ข้อมูลหายเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดความเสียหายที่ระบบไฟล์ ข้อมูลทั้งหมดภายในไดรฟ์ก็จะได้รับผลกระทบไปหมดเลยเครื่องมือที่จะมาช่วยคุณในการแก้ไขปัญหานี้ก็จะเป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่ใช้ ในการจัดการกับพาร์ทิชันอย่างเช่น Partition Magic ซึ่งนอกจากความสามารถในการสร้าง ลบ ย่อ ขยาย ขนาดของพาร์ทิชันแล้ว มันก็ยังสามารถจะซ่อมแซมโครงสร้างของพาร์ทิชันหรือระบบไฟล์ให้กับคุณได้อีก ด้วย
โปรแกรม Partition Magic โปรแกรมโปรคู่มือนักกู้ข้อมูลมืออาชีพ
โปรแกรม Active partition recovery เครื่องมือดีๆ ที่ใช้กู้พาร์ทิชันทั้งอันได้
นอกจากนี้ยังมีกรณีของการลบพาร์ทิชันผิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่าแบ่งพาร์ทิชันไว้จำนวนมากแล้วเกิดความสับสนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อไดรฟ์มันเปลี่ยนไปในแต่ละระบบปฏิบัติการ ก็ส่งผลให้ข้อมูลในนั้นหายไปหมดด้วยเช่นกัน ซึ่งในรูปแบบเช่นนี้ก็มีโปรแกรมที่สามารถกู้คืนพาร์ทิชันที่ถูกลบไปได้อยู่ เหมือนกัน เช่น Active Partition Recovery ซึ่งมันจะสแกนดูว่าเราเคยมีการสร้างพาร์ทิชันอะไรไว้ จากนั้นมันก็จะกู้คืนสถานะของพาร์ทิชัน ระบบไฟล์ และไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่ในพาร์ทิชันให้กลับคืนมาเหมือนเดิมครับ
เช่นเดียวกับการกู้ข้อมูลที่ได้กล่าวมาก่อนแล้ว นั่นก็คือการกู้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพื้นที่ข้อมูลนั้นๆ ยังไม่ได้ถูกเขียนทับด้วยข้อมูลใหม่ครับ ดังนั้นการกู้คืนพาร์ทิชันนั้นก็ยังสามารถทำได้ ถ้าคุณยังไม่ได้สร้างพาร์ทิชันใหม่ขึ้นมาทับ หรืออาจจะมีการสร้างพาร์ทิชันใหม่ได้แต่ต้องมีขนาดเท่าเดิมครับ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้นครับ อย่างเช่นสร้างพาร์ทชันใหม่ขนาดน้อยลงกว่าเดิม แล้วฟอร์แมตด้วยระบบไฟล์ที่แตกต่างไปจากเดิมแล้วลงระบบปฏิบัติการไปแล้วด้วย แบบนี้อาจจะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้แล้วล่ะครับ ต้องทำใจอย่างเดียว
4.กู้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็น Bad Sectorเมื่อพูดถึง Bad Sector แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คน เกลียดมันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันกำลังจะทำให้ข้อมูลของคุณเสียหายได้ในไม่ช้า อย่างที่เราได้พูดถึงการทำงานของฮาร์ดดิสก์กันมาข้างต้นแล้ว จะเห็นว่าฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบที่มีความบอบบางมากทีเดียว โดยเฉพาะส่วนของจานแม่เหล็กและหัวอ่าน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว เรียกได้ว่าเส้นผมคนเรายังลอดผ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ดังนั้นหัวอ่านก็อาจจะมีกระทบกับจานแม่เหล็กอยู่เหมือนกันในกรณีที่เกิดแรง สั่นสะเทือนมากๆ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกแรงกระแทก นอกจากนี้การที่สารฉาบเคลือบผิวของจานแม่เหล็กนั้นเสื่อมสภาพ หรือสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นๆ ไม่สามารถบันทึกข้อมูล สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิด Bad Sector ขึ้นมาได้
ตามปกติเมื่อข้อมูลของเราโชคร้าย ไปอยู่ในส่วนที่เป็น Bad Sector พอดิบพอดี ก็จะทำให้ข้อมูลส่วนนั้นๆ ไม่สามารถอ่านได้เลย เนื่องจากฮาร์ดดิสก์จะพยายามเข้าไปอ่านส่วนที่เป็น Bad Sector นั้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะสามารถทำได้ในการกู้ข้อมูลกลับคืนมาก็คือการใช้โปรแกรม ช่วยอย่างเช่นโปรแกรมสำหรับการสแกนดิสก์ ที่สามารถรองรับการทำ Surface Test ด้วย เพื่อที่มันจะได้มองหาโปรแกรม Bad Sector ได้ และโปรแกรมเหล่านี้ก็ยังสามารถที่จะกู้ข้อมูลที่อยู่ที่ Bad Sector ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงด้วยเหมือนกันว่าไฟล์ที่กู้ขึ้นมานั้นเป็นไฟล์อะไร และจะต้องยอมรับด้วยไฟล์ที่กู้คืนมาได้คงจะไม่ได้มีความสมบูรณ์ 100% นะครับ พร้อมกันนี้โปรแกรมที่ว่านี้ยังช่วยมาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์มีการเขียนข้อมูลลงไปที่ Bad Sector อีก
โปรแกรมสำหรับทำ Low level Format มีหลายตัว แต่ที่เหมาะคือ “ของผู้ผลิตเอง”
คุณสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ได้จากเว็บของผู้ผลิตเอง
แม้ว่าเราจะสามารถกู้คืนข้อมูลที่อยู่ใน Bad Sector ขึ้นมาได้แล้ว และได้มาร์กจุดของ Bad Sector เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีข้อมูลผู้โชคร้ายถูกเขียนลงไปอีก แต่ความน่ากลัวของมันก็ยังไม่หมด เนื่องจาก Bad Sector อาจจะมีอาการลุกลามเพิ่มขึ้นได้อีกจากจุดเดิม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงควรจะต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุดูเสียก่อน โดยสิ่งที่เราพอที่จะสามารถแก้ไขปัญหา Bad Sector ได้ด้วยตัวเองก็คือการทำ Low Level Format ครับ โดยการทำ Low Level Format นี้สามารถทำได้ผ่านทางซอฟต์แวร์พิเศษจากทางผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่คุณใช้ งานอยู่ โดยสามารถไปหาดาวน์โหลดได้ตามเว็บไซต์แต่ละยี่ห้อได้เลยครับ
สำหรับการทำ Low Level Format นั้นสิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังก็คือมันเป็นการจัดโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์ ในระดับของคลื่นแม่เหล็กเลย ไม่ได้แค่การลบข้อมูลเหมือนกับการ Format ทั่วไป ที่สำคัญมันใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ ด้วยโดยเฉพาะกับไดรฟ์ที่มีขนาดใหญ่อย่างไดรฟ์ในปัจจุบันที่มีขนาด 200-500GB ด้วยแล้ว แทบจะต้องรอกันหลายชั่วโมงทีเดียว และในระหว่างที่มันทำ Low Level Format อยู่นั้น ก็ไม่ควรมีการยกเลิกการทำงานไปก่อนที่มันจะทำงานเสร็จ หรือห้ามปิดคอมพิวเตอร์โดยทันที รวมถึงกรณีที่ไฟดับด้วยครับ ไม่งั้นมันอาจจะเป็น Bad Sector ไปอย่างถาวรเลยก็ได้
5.กู้ฮาร์ดดิสก์แบบ USBเดี๋ยวนี้สื่อบันทึกข้อมูลแบบที่เรียกว่า External Harddisk กำลังเป็นที่นิยมมากเลยนะครับ เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาลต่อวันที่ผู้คนต้องพกพากันในวันนี้ไม่ ใช่มีแค่เพลง MP3 ขนาดแค่กิกะไบต์กันแล้ว แต่อาจจะมีไฟล์วิดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ ในระดับหลายๆ กิกะไบต์เลยก็ได้ ดังนั้นสื่อบันทึกข้อมูลอย่าง Flash Drive อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานของผู้ใช้บางคน ดังนั้น External Harddisk แบบ USB จึงเข้ามาเติมเต็มความต้องการให้ แต่ถ้าเกิดข้อมูลสูญหายขึ้นมาจะทำอย่างไรได้บ้าง
จริงๆ แล้วฮาร์ดดิสก์แบบ External ที่เรารู้จักกันมันก็เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่ในเครื่องนั่นแหละครับ โดยถ้าเป็นแบบพกพาที่ไม่ต้องใช้ไฟจากอะแดปเตอร์ก็จะเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วเหมือนกับของโน้ตบุ๊ก ดังนั้นเมื่อคุณเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว มันก็จะมองเหมือนเป็นเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ธรรมดาตัวหนึ่งเลยการกู้ข้อมูลของ External Harddisk นั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากการกู้ข้อมูลภายในเครือซักเท่าไหร่ แต่อาจจะแบ่งกรณีความเสียหายได้ 2 กรณีคือ 1 เสียที่ตัวฮาร์ดดิสก์เอง ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับที่กล่าวมาข้างต้นว่าคุณสามารถกู้ข้อมูลคืนได้ตั้งแต่การสแกนหาข้อมูลที่ ถูกลบไปจนไปถึงการแก้ไข Bad Sector ที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ กับอีกส่วนหนึ่งก็คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวกล่องที่ใส่ฮาร์ดดิสก์
ซึ่งกล่องตัวนี้มีความสำคัญคือช่วยแปลงการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์ทีเป็น IDE หรือ SATA มาเป็นแบบ USB หรือ Firewire นั่นเอง ดังนั้นถ้ามันเกิดเสียหายขึ้นมาก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถใช้งานได้
สำหรับในกรณีที่ตัวกล่องเสียนั้น เราต้องดูก่อนว่าฮาร์ดดิสก์พกพาของคุณนั้นสามารถที่จะแกะกล่องเพื่อเอา ฮาร์ดดิสก์ออกมาได้หรือเปล่า ซึ่งถ้าคุณซื้อตามร้านประกอบคอมพิวเตอร์ก็อาจจะเป็นแบบที่ถอดได้ ในขณะที่ถ้าคุณซื้อเป็นแบบมียี่ห้ออย่างเช่น Seagate FreeAgent หรือของยี่ห้ออื่นๆ แล้วก็อาจจะไม่สามารถแกะได้ อันนี้ก็ต้องส่งเคลมกับศูนย์บริการอย่างเดียวเลยครับ แต่สำหรับแบบที่สามารถแกะได้นั้นก็เพียงแค่แกะฮาร์ดดิสก์ออกมาแล้วเชื่อมต่อ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถจะสั่งกู้ข้อมูลหรือก๊อปปี้ข้อมูลออกมาเก็บ ไว้ได้แล้วล่ะครับ
6.ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กเสีย จะกู้ได้อย่างไรถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซีเสีย การแก้ไขก็คงจะไม่ลำบากมากนั้น เพราะคุณสามารถเปิดเครื่องออกมาเอาฮาร์ดดิสก์ไปปลั๊กกับเครื่องอื่นเพื่อกู้ ข้อมูลได้ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์โน้ตบู๊กนั้นจะมีความยุ่งยากมากกว่า เพราะนอกจากคุณจะแกะฮาร์ดดิสก์ออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กยังไม่เหมือนกับฮาร์ดดิสก์บนเครื่องพีซีอีกด้วย นอกจากมีขนาดที่เล็กกว่าแล้ว ยังมีพอร์ตสำหรับต่อสายที่ไม่เหมือนกันด้วย (ยกเว้นฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่เหมือนกันและสามารถใช้งานร่วมกันได้) ดังนั้นคุณจึงต้องหาสายสำหรับแปลงสัญญาณจากฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กมาเป็น IDE สำหรับเครื่องพีซี หรืออาจจะแปลงไปเป็น USB เลยก็ได้เช่นเดียวกัน
ฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กกับเดสก์ท็อป มีความแตกต่างกันทั้งขนาดและพอร์ตการเชื่อมต่อ
สายแปลงฮาร์ดดิสก์ IDE เป็น USB ซึ่งสามารถใช้ได้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5” และ 3.5”
แม้ว่าหัว IDE ของฮาร์ดิสก์โน้ตบุ๊กจะคล้ายกับเดสก์ทอป แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะหัวมีขนาดเล็กว่า
อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มี External Harddisk อยู่แล้ว และเป็นแบบกล่องที่สามารถแกะเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ภายในได้ ก็คือการถอดฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเอาฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กที่เสียใส่ กลับเข้าไปแทน ด้วยวิธีการนี้ก็จะเป็นเหมือนกับการกู้ข้อมูลจาก External Harddisk อย่างที่เราได้เคยพูดไปในหัวข้อก่อนหน้ายังไงล่ะครับ
7.จะกู้อย่างไรในเมื่อฮาร์ดดิสก์ Detect ไม่เจอข้อผ่านๆ มาทั้งหลาย เป็นการกู้ข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นหลัก หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟซด้วยอะแดปเตอร์เล็กน้อยซึ่งหมายความ ว่าสภาพฮาร์ดดิสก์ยังทำงานได้ดีอยู่ แต่สำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงกรณีที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้เลย หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือคอมพิวเตอร์มองไม่เห็นว่ามีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ กับเครื่องคอมพิวเตอร์เลย แบบนี้ก็แย่นะซิครับ เพราะโปรแกรมอะไรก็คงไม่สามารถจะกู้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์กลับมาได้เลย
สาเหตุของการที่ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถ Detect ได้นั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเกิดจากแผงวงจรควบคุมที่อยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์นั้นแหละ ครับ เพราะมันรับผิดชอบในการติดต่อและรับ-ส่งข้อมูลกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าแผงวงจรเสีย ก็แปลว่าคุณก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในจานแม่เหล็กได้อีกเลย ทางเดียวที่สามารถแก้ไขได้ก็คือทำให้แผงวงจรกลับมาทำงานได้ดังเดิม ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งก็ไม่ได้หายไปไหน ก็จะกลับมาสู่อ้อมอกคุณอีกครั้ง
การจะซ่อมแผงวงจรนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ เพราะว่ามันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะไปซ่อมเองได้ ทางที่ได้ผลมากกว่าก็คือ “การเปลี่ยน” ครับ ใช่แล้วครับ เราสามารถเปลี่ยนแผงวงจรควบคุมของฮาร์ดดิกส์ได้ เพียงแต่เงื่อนไขการเปลี่ยนก็คือ คุณจะต้องหาฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดเท่ากัน ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน หรืออาจจะพูดว่าควรจะต้องเหมือนกันทุกประการเลยก็ว่าได้ เพื่อให้แผงวงจร สามารถทำงานทดแทนตัวที่เสียไปได้อย่างสมบูรณ์ หลังกจากนั้นเราก็สามารถจะไขน็อตเพื่อถอดเปลี่ยนแผงวงจรได้เลย โดยมันจะมีสายไฟที่ต่ออยู่กับตัวฮาร์ดดิสก์ซึ่งเป็นพอร์ตที่ถอดออกมาได้อยู่ และเป็นสายที่ค่อนข้างบางต้องใช้ความระมัดระวังเล็กน้อย เพียงเท่านี้ถ้าโชคเข้าข้างคุณ ก็จะสามารถใช้งานฮาร์ดดิสก์และดึงข้อมูลออกมาได้เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ยังอยู่ ในสภาพดีอยู่เหมือนเดิมแล้วล่ะครับสรุป Backup ไว้ ไม่ต้องรอวัวหายสุภาษิต “วัวหาย ล้อมคอก” ยังคงใช้ได้อยู่จนถึงปัจจุบันนะครับ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะสามารถกู้ข้อมูลต่างๆ จากฮาร์ดดิสก์ได้มากเพียงใด แต่จะเห็นได้ว่ามันก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่นถ้าหามีการก๊อปปี้ข้อมูลทับลงไปในฮาร์ดดิสก์แล้ว ก็จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้อีก หรืออย่างในกรณีที่ต้องมีการเปลี่ยนแผงวงจรฮาร์ดดินก์ โอกาสที่จะหาฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกันเจอนั้นก็คงจะมีไม่มากอย่างที่คุณคิด หรอกครับ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าๆดังนั้นการป้องกันข้อมูลที่สามารถรับประกันผลได้ดีที่สุดก็คือการแบ้กอัพ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ็กอัพไปยังฮาร์ดดิสก์อีกลูกหนึ่ง การไรท์ข้อมูลที่มีอยู่ใส่ลงในแผ่นซีดีหรือดีวีดี (หลายๆ ชุดเพื่อความปลอดภัย) โดยเฉพาะกับข้อมูลที่ไม่ค่อยได้มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ แล้ว ย่อมเป็นทางเลือกทีดีที่สุด
ผู้เขียน: krootuuy2009

ที่มา : http://www.com-th.net/main/2009/01/7-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5/

~*ป๋วย*~

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โหลดหน้าเว็บให้เร็วขึ้น
WinTip ครั้งนี้ ขอแนะนำวิธีที่จะช่วยให้บราวเซอร์สามารถโหลดหน้าเว็บได้เร็วขึ้น แต่งานนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเร็วของการดาวน์โหลดนะครับ เพียงแต่มันจะช่วยให้พีซีสามารถค้นหาเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น ซึ่งทำให้หน้าเว็บถูกโหลดเร็วขึ้น และทำให้การท่องเว็บสนุกยิ่งขึ้น
เทคนิคนี้ยังคงต้องอาศัยการแก้ไขข้อมูลในรีจิสทรี โดยคลิกปุ่ม Start เลือกคำสั่ง Run พิมพ์คำสั่ง regedit เข้าไปในช่องข้อความ Open: (หรือกดปุ่ม Windows + R เพื่อเปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run ก็ได) ซึ่งใน Windows แต่ละเวอร์ชันก็จะมีตำแหน่งของการแก้ไขรีจิสทรีที่แตกต่างกันไปดังนี้
สำหรับWindows XP และ 2000
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\Tcpip\ServiceProvider
สำหรับ 98, 98SE และ ME
HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Services\VxDMSTCP\ServiceProvider
ในกรอบด้านขวามือให้แก้ไขค่าของตัวแปรข้างล่างนี้ โดยค่าทั้งหมดที่แก้ไขให้ใช้ชนิดข้อมูลเป็น HEXADECIMAL
Class: 1
DnsPriority: 1
HostsPriority: 1
LocalPriority: 1
NetbtPriority: 1
คราวนี้ ลองท่องเว็บดูนะครับ คุณจะพบกับความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่รู้สึกได้ ......

ที่มา:http://www.krooit.com/webboard/index.php?topic=110.0

หัสดาภรณ์(อีฟ)

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ระบบ 3G คืออะไร เทคโนโลยี 3G หมายถึง? ความเร็ว 3G เท่าไหร่?

ระบบ 3G ( UMTS ) นั้นคือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่นสำหรับเมืองไทยนั้น ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA , HSUPA และ HSPA+HSDPA นั้นจะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps. ( ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการอยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น )HSUPA จะเหมือนกับ HSDPA ทุกอย่างแต่การ Upload ข้อมูลจะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 MbpsHSPA+ เป็นระบบในอนาคต การ Download ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps / Upload 22 Mbpsสำหรับในเมืองไทยนั้น ระบบ 3G ( HSPA ) ที่ Operator AIS หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้าข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard แบบที่รองรับ 3G คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลก จะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐานคือ 850 , 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ Trueคลื่นความถี่ ( band ) 2100 จะถูกพัฒนาโดย AISคลื่นความถี่ ( band ) 1900 ยังไม่แน่ชัดว่าจะถูกปล่อยออกโดยบริษัทไหนดังนั้นการเลือกซื้อ AirCard , Router หรือ โทรศัพท์มือถือ และต้องการให้รอบรับ 3G ควร check ให้ดีก่อนว่าสามารถรองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น


HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access) เป็นระบบเครือข่ายมือถือระบบ UMTS ซึ่งเป็นเครือข่ายมือถือรุ่นที่สาม (3G) HSDPA พัฒนาความเร็วในการดาวน์โหลด รองรับความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลถึง 1.8 เมกะบิตต่อวินาที, 3.6 เมกะบิตต่อวินาที, 7.2 เมกะบิตต่อวินาที และ 14.4 เมกะบิตต่อวินาที HSDPA มีความเร็วของการสื่อสารสูงกว่า EDGE ถึง 36 เท่า หรือเร็วกว่า GPRS ถึง 100 เท่า ความเร็วขนาดนี้ทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่HSDPA ไม่ได้พัฒนาในส่วนของความเร็วการอัปโหลด การปรับปรุงความเร็วการอัปโหลดของ UMTS จะอยู่ในระบบ HSUPA เมื่อรวมความสามารถของ HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกัน จะเรียกโดยรวมว่า HSPAต่อด้วย 4G เลยนะ ว่าแตกต่างกันอย่างไรกับ 3G สรุปง่าย ๆ ว่า 3G ความเร็วคือ 2,400 Kbps = 2.4 Mb (กิโลบิต) ต่อวินาที 4G จะได้ถึง 20,000 -40,000 Kbps= 20 -40 mbps. ต่อวินาทีเลยเร็วมากจะโหลดโปรแกรม ออฟฟิส 2007 อ่ะ 5 นาทีเอง จากแต่ก่อน ทั้งวันเลย(โมเด็ม) ธรรมดาโหลดทั้งวันทั้งคืนHSDPA คือ High-Speed Downlink Packet AccessHSUPA คือ High-Speed Uplink Packet Accessส่วน 4G ที่เห็น ๆ กันก็ Wi-Max

ที่มา :http://www.chumchon.co.cc/index.php?topic=33.0

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ลดความร้อนภายในคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง

ความร้อนทำให้คอมพิวเตอร์อายุสั้น
คอมพิวเตอร์ของคุณมีอาการ restart เครื่องเองอัตโนมัติหรือไม่ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์อาจ restart เครื่องเอง นั่นมาจากคอมพิวเตอร์ที่สูงเกินไป (อีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากไวรัส) ซึ่งโดยปกติแล้ว ใน BIOS จะมีการกำหนดระดับความร้อนไว้ว่า ถ้าสูงเกินกำหนด อาจสั่งให้ Restart เครื่องใหม่ได้ด้วย ดังนั้น เรามาลองศึกษาวิธีแก้ไขลดความร้อนของคอมพิวเตอร์กันดีกว่า..


วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์มีความร้อนสูงเกินปกติ
สถานที่ติดตั้ง
ติดตั้งและใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ในห้องที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ถ้าให้ดี ควรใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือที่ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก


ตำแหน่งที่เหมาะสม
ไม่ติดตั้งเครื่องคอมฯ ใกล้ชิดหรือติดผนังหรือที่ระบายอากาศไม่ดี


การดูแลรักษา
เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ หรือ Desktop ฝุ่นที่เป็นต้วการทำให้คอมพิวเตอร์ร้อนผิดปกติ จะเข้าติดภายในตัวเครื่องคอมฯ ทำให้เกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น และเป็นที่มาของปัญหาความร้อน การแก้ไขปัญหา ควรทำความสะอาดโดยกาใช้เครื่องเป่าเพื่อปัดฝุ่นออก


ตัวเครื่องคอมฯ
การติดตั้งพัดลมภายในตัวเครื่องคอมฯ หรือ Case ก็เป็นอีกวิธีที่ระบายความร้อนให้กับคอมพิวเตอร์ได้อีกทางหนึ่ง


เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยลดปัญหาความร้อนของคอมพิวเตอร์ของคุณได้มากแล้วค่ะ

CREDIT : http://www.it.co.th/tipsdetail.php?t_id=121

. .. PriiM .. .

ระบบปฎิบัติการ

ความหมายของระบบปฏิบัติการในเบื้องต้น คือ โปรแกรม ที่จัดการคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ โดยทำหน้าที่ให้การสนับสนุนการประมวลผลในเบื้องต้น และทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ และคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ทำงานด้วยกัน อย่างราบรื่น จากความหมายข้างต้น ทำให้ทราบว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมีระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่ง โดยปกติคอมพิวเตอร์จะมีส่วนประกอบสำคัญแยกกันได้ 4 ส่วนคือ hardware, operating system, application program และ users

1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ประกอบด้วยทรัพยากรต่างๆ ที่มีในระบบ ได้แก่ อุปกรณ์นำข้อมูลเข้า/ออก

หน่วยประมวลผลกลาง และหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังหมายความรวมถึง โปรแกรมภาษาเครื่อง และไมโครโปรแกรม ซึ่งเป็นส่วนที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นซอฟร์แวร์ในระดับพื้นฐาน (primitive level) โดยสามารถทำงานได้โดยตรงกับทรัพยากรระบบด้วยคำสั่งง่ายๆ เช่น ADD MOVE หรือ JUMP คำสั่งเหล่านี้จะถูกกำหนดเป็นขั้นตอน การทำงานของวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ชุดคำสั่งที่ไมโครโปรแกรมต้องแปลหรือตีความหมายจะอยู่ใน รูปแบบภาษาเครื่องและมักเป็นคำสั่งในการคำนวณ เปรียบเทียบ และการควบคุมอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า/ออก

2. ระบบปฏิบัติการ (Operating system) เป็นโปรแกรมที่ทำงานเป็นตัวกลาง

ระหว่างผู้ใช้เครื่องและฮาร์ดแวร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสภาพแวดล้อมให้ผู้ใช้ระบบสามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยจะเอื้ออำนวยการพัฒนาและการใช้โปรแกรมต่างๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. โปรแกรมประยุกต์ (Application program) คือซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ถูก

เขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ เช่น งานส่วนตัว งานทางด้านธุรกิจ งานทางด้านวิทยาศาสตร์ โปรแกรมทางธุรกิจ เกมส์ต่างๆ ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนตัวแปลภาษา เราอาจเรียกโปรแกรมประเภทนี้ว่า User's Program โปรแกรมประเภทนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงในการพัฒนา เช่นภาษา C, C++, COBOL, PASCAL, BASIC ฯลฯ ตัวอย่างของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นใช้ในทางธุรกิจ เช่น โปรแกรมระบบบัญชีจ่ายเงินเดือน (Payroll Program) โปรแกรมระบบเช่าซื้อ (Hire Purchase) โปรแกรมระบบสินค้าคงหลัง (Stock Program) ฯลฯ ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็จะมีเงื่อนไขหรือแบบฟอร์มที่แตกต่างกัน ตามความต้องการหรือกฏเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งโปรแกรมประเภทนี้เราสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมเองได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานโปรแกรม โปรแกรมเหล่านี้เป็นตัวกำหนดแนวทางในการใช้ทรัพยากรระบบ เพื่อทำงานต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้หลากหลายประเภท ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งบุคคล โปรแกรม หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นตัวแปรภาษาต้องใช้ทรัพยากรระบบในการแปลโปรแกรมภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องแก่โปรแกรมเมอร์ ดังนั้น ระบบปฏิบัติการต้องควบคุมและประสานงานในการใช้ทรัพยากรระบบของผู้ใช้ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง

4. ผู้ใช้ (User) ถึงแม้ระบบคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งทางด้าน

ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ระบบคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าขาดอีกองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งได้แก่ องค์ประกอบทางด้านบุคลากรที่จะเป็นผู้จัดการและควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น คอยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้งานโปรแกรมประยุกต์ที่ถูกพัฒนาขึ้น

ดอส ( DOS; ย่อมากจาก D isk O perating S ystem)

เป็นชื่อเรียก ระบบปฏิบัติการหลายตัวที่พัฒนาโดยไอบีเอ็มและไมโครซอฟท์ในช่วงปีพ.ศ. 2524 - พ.ศ. 2538 (โดยถ้ารวมดอสในวินโดวส์ จะนับถึงปี พ.ศ. 2543) ตัวอย่างของระบบปฏิบัติการนี้เช่น PC-DOS, MS-DOS, FreeDOS, DR-DOS, Novell-DOS, OpenDOS, PTS-DOS, ROM-DOS เนื่องจากดอสมีผู้ผลิตหลายเจ้า เช่น PC-DOS จากไอบีเอ็ม และ MS-DOS จากไมโครซอฟท์ เป็นต้น และดอสอื่นๆ ระบบปฏิบัติการดอสทั้งหมดทำงานภายใต้เครื่อง ไอบีเอ็มพีซี เสมือน ที่ใช้ ซีพียู อินเทล x 86

ลินุกซ์ ( Linux) และรู้จักในชื่อ กนู/ลินุกซ์ ( GNU/Linux)

คือ ระบบปฏิบัติการ ที่นิยมตัวหนึ่งในฐานะ ซอฟต์แวร์เสรี และซอฟต์แวร์ โอเพนซอร์ส ลินุกซ์มีลักษณะคล้ายระบบปฏิบัติการ ยูนิกซ์ โดยมี ลินุกซ์ เคอร์เนล เป็นศูนย์กลางทำงานร่วมกับ ไลบรารี และเครื่องมืออื่น ลินุกซ์นิยมจำหน่ายหรือแจกฟรีในลักษณะเป็นแพคเกจ โดยผู้จัดทำจะรวม ซอฟต์แวร์ สำหรับใช้งานในด้านอื่นเป็นชุดเข้าด้วยกัน

เริ่มแรกของของลินุกซ์พัฒนาและใช้งานในเฉพาะกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งในปัจจุบันลินุกซ์ได้รับความนิยมเนื่องมาจากระบบการทำงานที่เป็นอิสระ ปลอดภัย เชื่อถือได้ และราคาต่ำ จึงได้มีการพัฒนาจากองค์กรต่างๆ เช่น ไอบีเอ็ม ฮิวเลตต์-แพกการ์ด และ โนเวลล์ ใช้สำหรับในระบบ เซิร์ฟเวอร์ และ พีซี เริ่มแรกลินุกซ์พัฒนาสำหรับใช้กับเครื่อง อินเทล 386 ไมโครโพรเซสเซอร์ หลังจากที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ลินุกซ์ได้พัฒนารับรองการใช้งานของระบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในระบบต่างๆ รวมถึงในโทรศัพท์มือถือ และ กล้องวีดีโอ

ลินุกซ์มี สัญญาอนุญาต แบบ GPL ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่กำหนดให้ผู้ที่นำโค้ดไปใช้ต้องใช้สัญญาอนุญาตแบบเดิมต่อคือใช้สัญญาอนุญาต GPL เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะสัญญาอนุญาตแบบนี้เรียกว่า copyleft

แมคโอเอส ( Mac OS)

เป็น ระบบปฏิบัติการ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของ บรรษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ . แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มี ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก ( GUI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ รุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส , อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ. ทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน , เจฟ รัสกิน , แอนดี เฮิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆ