วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

OVER CLOCK 4

อุปกรณ์รอบข้าง ก็มีผลต่อการทำ Over Clock
ด้วยจากความรู้เรื่องของความเร็ว FSB และระบบบัสต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB และทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วไม่มาตรฐาน ดังนั้น การเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีความสำคัญมากนะครับ ว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดนั้น จะสามารถทนรับความเร็วที่ผิดปกติได้มากน้อยเพียงใด อุปกรณ์ที่ผมพูดถึง ก็เช่น VGA Card , Sound Card , Hard Disk หรือ RAM นะครับ ดังนั้นต้องเลือกกันให้ดี

Power Supply ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม
หลาย ๆ ท่านอาจจะมองข้ามปัญหาของ power Supply ไป แต่ที่จริงแล้ว กำลังไฟของอุปกรณ์จ่ายไฟเช่น Power Supply นี่ต้องถือว่ามีความสำคัญมากเหมือนกันนะครับ คุณลองนึกดูนะ ว่าการเพิ่มความเร็วของ CPU จะทำให้ต้องใช้กำลังไฟ เพิ่มขึ้นมากเท่าไร การติดพัดลมเพิ่มเติม ก็ล้วนแต่กินไฟทั้งนั้น ดังนั้นหากเป็น Power Supply ที่ใช้งานมานาน ๆ แล้วหรือมีกำลังไฟต่ำ ๆ ก็ต้องพิจารณากันด้วย

สายการผลิต หรือเทคโนโลยีที่ใช้ CPU ก็มีส่วนสำคัญ
การเลือก CPU ในแต่ละรุ่น หรือแต่ละสายการผลิต ก็มีส่วนสำคัญกับการทำ Over Clock ว่าจะได้มากหรือน้อยด้วยนะครับ ผมยกตัวอย่างเช่น Celeron 366 MHz เปรียบเทียบกับ Celeron 533 MHz นะครับ สมมุติว่า CPU 2 รุ่นนี้ผลิตมาจากเทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งสามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุดน่าจะได้ใกล้เคียงกัน แต่ว่าหากเรามองหลักการ Over Clock ซึ่งสำหรับ Celeron นั้นจะล็อคตัวคุณ ทำให้เราใช้วิธีการเพิ่ม FSB ได้อย่างเดียว จะเห็นว่า 366 = 66 x 5.5 ในขณะที่ 533 = 66 x 8 นะครับ ซึ่งลองนึกภาพกาีรนำเอา CPU 2 ตัวนี้มาทำงานที่ FSB 100 MHz ก็จะำได้ 366@550 กับ 533@800 ซึ่งโอกาสที่เราจะได้ตัว 533@800 นี่แทบจะไม่มีเลยทีเดียวนะครับ ดังนั้น CPU รุ่นแรก ๆ ที่เพิ่งออกมา จะสามารถนำมาทำ Over Clock ได้ดีกว่ารุ่นหลังนะครับ ยกตัวอย่างเช่น Celeron II 566 MHz ตอนนี้ที่เพิ่งออกมา หลายคนสามารถใช้ FSB 100 MHz ได้สบาย ๆ ครับ หรือ Pentium III 500 รุ่นแรก ๆ ก็สามารถใช้งานที่ FSB 133 MHz ได้เป็นต้น

การเพิ่ม ตัวคูณ กับเพิ่ม FSB อะไรดีกว่ากัน
การทำ Over Clock ที่ดีควรจะเพิ่ม FSB นะครับ เพราะว่า FSB คือความเร็ว External Clock ที่จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของอุปกรณ์อื่น ๆ ให้ทำงานเร็วขึ้นด้วย การที่เี่ีราลด FSB ลงมาแต่เพิ่มตัวคูณเข้าไป อาจจะได้ตัวเลขที่สูงขึ้น แต่จริงแล้วความเร็วโดยรวม ๆ อาจจะำไม่ได้เพิ่มขึ้ีนมามากนัก ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรใช้วิธีเพิ่ม FSB


รหัสไบออสของเครื่องถ้าไม่ทราบก็เกาะแบตออกได้เลย เป็นการปลดล็อก จะตั้งค่าใหม่ทันที

OVER CLOCK 3

การทำ Burn in CPU
คือการใช้งาน CPU แบบหนัก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้อุณหภูมิสูง เช่นการเพิ่มไป Vcore เข้าไปอีกนิดหน่อย และหาโปรแกรมที่ต้องใช้งาน CPU หนัก ๆ มารันค้างไว้ เช่น Prime 95 หรือโปรแกรม Benchmark ต่าง ๆ โดยที่การทำ Burn in จะทำให้เกิดการเปลียนแปลงของ Interface ต่าง ๆ ภายใต้ตัวซิป CPU ทำให้มีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น ดังนั้น การ Burn in จึงมีส่วนช่วยให้สามารถใช้งาน CPU ได้ที่ความเร็วมากขึ้นด้วย หลักการทำ Burn in สำหรับการ Over Clock ก็คือ หลังจากที่ปรับความเร็วได้สูงที่สุดแล้ว ให้ทดลองทำ Burn in หรือใช้งานหนัก ๆ สัก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น จึงทดลองเพิ่ม ความเร็วไปอีก ซึ่งอาจจะได้ความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้

ประสิทธิภาพของแคช Level 2 บน CPU
ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการ Over Clock ก็คือความสามารถของแคช L2 ว่าจะสามารถทำงานได้ตามความเร็วของ CPU หรือ FSB หรือไม่เนื่องจากการทำงานของแคช L2 นั้นจะทำงานสมัพันธ์กับความเร็วของ FSB หรือ CPU โดยขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรมของระบบนั้น ๆ บน Socket7 แคช L2 จะมีความถี่เดียวกับ FSB แต่สำหรับ Pentiumll ความถี่จะเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU และบน celeron จะใช้ที่ความถี่เดียวกับ CPU เลย ดังนั้นความสำเร็จจากการ Over Clock จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแคช L2 ด้วย ถ้าการ Over Clock ไม่สำเร็จ ก็ให้ลอง Disable Cache L2 ใน BIOS แล้วลองดูใหม่ ถ้่าระบบเสถียรขึ้น หรือสามารถบูตได้ก็แสดงว่า อาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ (แต่อย่าลืมว่าการ Disable Cache L2 นี้จะทำให้ปประสิทธิภาพของ CPU นั้นลดลงไปด้วย)


รู้จักกับระบบความเร็วบัสต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์กันก่อน
โดยทั่วไปแล้ว การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB ให้สูงขึ้นนั้น จะเป็นการเพิ่มความเร็วของระบบบัสต่าง ๆ ในเครื่องด้วยนะครับ ดังนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่บนระบบบัสเหล่านี้ ก็จะต้องทำงานที่ความเร็วสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น VGA Card , Sound Card หรือแม้แต่ Hard Disk ก็จะต้องสามารถรองรับการทำงานของบัสต่าง ๆ ที่สูงผิดปกตินี้ได้ด้วยครับ เพื่อความเข้าใจระบบบัสต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ง่ายขึ้น ผมขอแบ่งออกง่าย ๆ ตามนี้
ความเร็วของ External Clock หรือ FSB ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมาตรฐานครับ เช่น 50 , 55 , 60 , 66 , 75 , 83 , 100 , 133 , 150 หรือ 180 MHz การปรัับค่าต่าง ๆ จะทำได้ละเอียดมากน้อยเ้พียงใดขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดแต่ละรุ่น
ความเร็วของ PCI Bus จะมีความเร็วมาตรฐานที่ 33 MHz หรือเป็น 1/3 เท่าของ FSB สำหรับเมนบอร์ดที่ดี ๆ ก็จะสามารถปรับอัตราส่วนของ PCI ได้หลายค่าเช่น 1/2 , 1/3 หรือ 1/4 เท่าของ FSB ก็ได้ เช่น เราสามารถใช้ FSB ที่ 133 MHz แต่ว่า PCI ยังสามารถทำงานได้ที่ 33 MHz นะครับโดยการปรับอัตราส่วนเป็น 1/4 เป็นต้น
ความเร็วของ AGP Bus โดยทั่วไปแล้ว AGP จะเป็น Slot สำหรับการ์ดแสดงผลครับ ซึ่งใน 1 เครื่องคอมพิวเตอร์จะมี AGP Slot เพียงแค่อันเดียวนะครับ โดยที่ AGP Bus จะทำงานที่ความเร็ว 66 MHz หรือเป็น 2/3 เท่าของ FSB นะครับ หลักการอื่น ๆ ก็เหมือนกันกับ PCI คือสามารถปรับเป็นอัตราส่วนความเร็วค่าต่าง ๆ เช่น 2/3 หรือ 1/2 เป็นต้น
ความเร็วของ RAM Bus ส่วนใหญ่แล้ว RAM จะทำงานที่ความเร็วเดียวกับ FSB แต่ว่าในเมนบอร์ดบางรุ่นที่ดีึ ๆ ก็ยังสามารถปรับอัตราส่วนความเร็วได้ด้วย เช่น FSB เป็น 133 MHz แต่ RAM ทำงานที่ 100 MHz
โดยสรุป ก็คือการเลือกซื้อเมนบอร์ดที่สามารถปรับค่าต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณทำการ Over Clock ได้ดีขึ้น จากข้อมูลข้างบน จะเห็นว่า หากเราใช้เมนบอร์ดแบบทั่ว ๆ ไป ใช้งาน FSB ที่ 120 MHz ลองมาดูกันนะครับ จะเห็นว่า PCI จะต้องทำหน้าที่ 40 MHz และ AGP ก็ต้องทำงานที่ 80 MHz ซึ่งอุปกรณ์บางชนิด จะไม่สามารถทำงานได้ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหา Over Clock ที่ไม่ควรมองข้ามไป

OVER CLOCK 2

การปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ทำที่ไหน
การปรับเปลี่ยนค่าของ FSB หรือ ตัวคูณ รวมทั้งค่าต่าง ๆ เช่น Vcore ที่ผมจะำพูดถึุงต่อไป ต้องดูจากคู่มือของเมนบอร์ดประกอบด้วยนะครับ เพราะเมนบอร์ดแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกับ บางรุ่นอาจจะทำการปรับโดยการเปลี่ยน jumper บนเมนบอร์ดโดยตรง แต่บางรุ่นอาจจะเป็นการเข้าไปปรับค่าใน BIOS ครับ ดังนั้นต้องดูตามคู่มือของเมนบอร์ดด้วย หากไม่มีคู่มือ ก็คงต้องลองมองหาเอาเอง ทั้งจากเมนบอร์ดที่อาจจะมีการพิมพ์ติดไว้หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ด้วยครับว่ามีให้ปรับด้วยหรือเปล่า

เริ่มต้นการทำ Over Clock
หลังจากกำหนดความเร็วของ CPU ก็ทราบกันแล้วนะครับ ดังนั้นการทำ Over Clock ก็เริ่มต้นได้่เลย โดยการตั้งค่า FSB และ Multipel หรือตัวคูณใหม่ให้ได้ค่าที่เร็วกว่าเดิม โดยให้ทำการเพิ่มขึ้นไปทีละขั้นนะครับ เช่นจาก 400 MHz ที่ 100 x 4 ก็เพิ่มเป็น 420 MHz ที่ 405 x 4 ก่อน แล้วทดลองใ้ช้งานดูสักพักหนึ่งว่ามีปัญหาการใช้งานหรือไม่ ความร้อนเพิ่มขึ้นมามากน้อยเพียงใด หากยังเป็นปกติดี ก็ให้เพิ่มความเร็วไปเรื่อย ๆ จนถึงขีดสุดของ CPU ครับคือเครื่องจะเริ่มมีปัญหา เข้า Windows ไม่ได้ หรือเข้าได้แต่ใช้งานหนัก ๆ แล้วจะแฮงค์นั่นแปลว่าถึงขีดสุดของ CPU แล้ว ก็ให้ลดความเร็วลงมา 1 ขั้นก่อนที่จะ้เริ่มพบปัญหาครับ ถ้าการใช้งานต่าง ๆ เป็นปกติดีก็ถือว่าผ่าน (ในขั้นตอนแรกนะครับ) ขั้นตอนต่อไปก็คือการจัดการกับระบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการ Over Clock หรือเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น โดยการปรับปรุงค่าต่าง ๆ ที่จะแนะนำต่อไป

การปรับ Vcore กับการทำ Over Clock
ก่อนอื่นมารู้จักกันก่อน Vcore คือค่าของ ไฟเลี้ยงของ CPU ซึ่งแต่ละรุ่นจะใช้ไฟเลี้ยงไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีนะครับว่า ค่าปกติของ CPU แต่ละรุ่นเป็นเท่าำำไร เช่น K6II , K6II จะใช้ 2.2 V. , Celeron , PII และ PIII จะใช้ 2.0 V. และ PIII รุ่นใหม่ ๆ จะใช้ที่ 1.6 V. ส่วนใหญ่จะสามารถเพิ่มค่าของ Vcore ขึ้นไปได้อีกประมาณ 0.2 - 0.4 V. โดยที่การเพิ่ม Vcore ให้มากขึ้นก็จะสมารถทำให้การ Over Clock ทำได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่การเพิม Vcore ไปมากเท่าไร ความร้อนของ CPU ก็จะเพิ่มมากตามไปด้วยนะครับ หลักการเพิ่ม Vcore โดยทั่วไปก็คือ ให้เพิ่มขึ้นทีละน้อยทีสุดครับ เช่นทีละ 0.05 V. หรือทีละ 0.1 V. และทดลองใช้งานดู หากยังไม่เสถียรนัก ก็ลองเพิ่ม Vcore ขึ้นไปอีก โดยที่รวมแล้ว ต้องไม่มากจนเกินไปนะครับ คือ ไม่ควรเกินกว่าปกติมากกว่า 0.2 - 0.4 V. ไม่เช่นนั้น CPU ของคุณอาจพังได้นะครับ (สำหรับท่านที่โชคดี ได้ CPU ตัวที่ดี ๆ มาใช้อาจจะสามารถนำมาทำ Over Clock โดยที่ไม่ต้องเพิ่มไฟ Vcore เลยก็ได้ แต่ค่อนข้างจะหายาก)อีกนิด สำหรับ CPU แบบ Slot 1 ส่วนใหญ่จะเป็นการ Detect จากเมนบอร์ด ทำให้เราไม่สามารถปรับค่าไฟ Vcore ให้เพิ่มขึ้นได้นะครับ แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการปิดขา CPU เพื่อเพิ่มไฟ ลองหาอ่านจาก Link การเปิดขา CPU slot - 1 เพื่อเพิ่ม Vcore

การระบายความร้่ิืิอนที่ดี สำหรับการทำ Over Clock
หัวใจสำคัญของการทำ Over Clock ก็คือการระบายความร้อนออกจากตัว CPU ยิ่งเราทำการระบายความร้อนได้ดีมากเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถทำ Over Clock ได้มากขึ้นเท่านั้นครับ และยังสามารถยืดอายุการใช้งานของ CPU ได้อีกด้วย วิธีการระบายความร้อนก็มีอยู่ำไม่กี่วิธีนะครับ ลองอ่านและืำืทำความเข้าใจ หลังจากนั้นลองเลือกทำตามที่คุณคิดว่าพอจะทำได้ อันไหนมันโหดเกินไป ก็ข้าม ๆ ไปบ้างก็ได้ (แต่ถ้าทำได้ทุกอย่างก็ดี)
-การเปลี่ยนพัดลมระบายความร้อนของ CPU
-การติดพัดลมที่เคสเพิ่มเติม
-การขัด Heatzing ให้เรียบขึ้น
-การทำ Lapping CPU
-การใช้ ซิลิโคน ทาระหว่าง CPU กับแผ่น Heatzing
-การทำระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
-การเปิดฝาเคส และใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
-การใช้เคสแบบพิเศษ

OVER CLOCK 1

Over Clock คืออะไร
คือการนำเอาอุปกรณ์เช่น CPU ที่ออกแบบมาสำหรับให้ทำงานที่ความเร็วค่าหนึ่ง แต่นำมาใช้งานที่ความเร็วสูงกว่านั้น เช่น CPU ความเร็ว 400 MHz แต่นำมาใช้งานที่ 500 MHz แทน หรือนำเอา CPU ที่เป็นนรุ่นความเร็ว 500 MHz มาทำงานที่ความเร็ว 667 MHz อะไรทำนองนี้ครับ ภาษาที่ใช้แทนสำหรับการ Over Clock ก็เช่น 400@500 หรือ 500@667 เป็นต้น นอกจากนี้ อุปกรณ์อื่น ๆ ก็สามารถนำมา Over Clock ได้เหมือนกันนะครับ เช่น RAM ที่เป็นแบบความเร็ว 100 MHz แต่นำมาทำงานที่ความเร็ว 133 MHz รวมถึงการ Over Clock การ์ดจอด้วยครับ เช่นปกติการ์ดจอทำงานที่ความเร็ว 110 MHz แต่เราตั้งให้ทำงานที่ 120 MHz อย่างนี้เรียกว่า Over Clock เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วนิยมทำ Over Clock กับ CPU มากกว่า

ข้อดีของการ Over Clock
ที่เห็นชัดเจนคือได้ใช้ CPU ที่มีความเร็วมากขึ้น โดยที่จ่ายเงินซื้อในราคาเท่าเดิม เช่น แทนที่จะซื้อ CPU ความเร็ว 500 MHz ก็เปลี่ยนแปลงเป็นการซื้อ CPU ที่มีความเร็ว 400 MHz มาทำ Over Clock เป็น 500 MHz ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ได้ใช้งาน CPU ที่ความเร็วเท่ากันในราคาที่ถูกกว่า และอีกแนวทางหนึ่ง ก็คือสมมุติว่า คุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ แล้ว เกิดมีความรู้สึกว่าเครื่องที่ใช้งานอยู่นั้น เริ่มจะมีความเร็วช้าไปบ้าง แต่ยังไม่อยากที่จะลงทุนเปลี่ยนเครื่องหรือ Upgrade เปลี่ยน CPU ใหม่ การนำเอา CPU ตัวเดิมนั้นมาทำ Over Clock ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ที่จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้นมา โดยการเสียเงินน้อยที่สุดครับ นอกจากนี้ยังได้ความรู้เกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย

ข้อเสียของการ Over Clock
เท่าที่ทราบมาจะเป็นการลดอายุการใช้งานของ CPU ลงไป เช่นจากเดิมที่เคยออกแบบมาให้ใช้งานได้ประมาณ 15 ปี ก็อาจจะมีอายุสั้นลงมาเหลือแค่ 10 ปีเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คงจะไม่มีใครใช้งาน CPU ได้นานขนาดนั้นหรอกครับ อีกข้อหนึ่งก็คือ เรื่องความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีมากขึ้นเมื่อทำการ Over Clock เพราะว่าเหมือนกับการใช้งาน CPU แบบเกินกว่าค่าปกตินะครับ อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เขาบอกว่า CPU ของคุณจะหมดประกันทันทีที่ทำการ Over Clock (ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่า จะตรวจสอบได้อย่างไร)

อันตรายจากการทำ Over Clock
ข้อควรระวังอย่างมากก็คือ ไม่ควรที่จะทำการ Over Clock มากเกินไป และต้องระวังเรื่องของการระบายความร้อนให้ดีด้วย (เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ จะสามารถดูค่าความร้อนจาก BIOS ได้โดยตรงครับ) หาก CPU ร้อนมาก ๆ ก็อาจจะเสียหายถึงขั้นพังไปเลยได้นะครับ ระวังกันให้ดีนะครับ หากใครอยากจะลอง ก็ขอให้่ใช้วิธีีค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีละขั้นครับ และตรวจสอบความร้่ิิอนของ CPU อยู่เสมออย่าให้ร้อนจนเกินไป

จะเพิ่มความเร็วของ CPU ได้อย่างไร
ความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่ากี่ MHz มาจากตัวเลข 2 ตัวคูณกันครับ คือ FSB กับ Multiple หรือเรียกง่าย ๆ คือความถี่กับตัวคูณ นั่นเอง ปกติแล้ว CPU รุ่นเก่า ๆ เช่น Pentium 100 ถึง Pentium ll รุ่นแรก ๆ และ Celeron จะใช้ FSB เป็น 66 MHz ถ้าเป็น CPU รุ่นหลังจากนั้นมา มักจะใช้ FSB ที่ 100 MHz หรือ 133 MHz แล้วครับ ความเร็วที่ได้ก็จะมีตัวคูณกำหนดเพิ่มเข้าไปด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น 100 MHz จะมาจาก FSB = 66 กับตัวคูณ 1.5 ครับ หรือ 133 MHz = 66 x 2 , 200 MHz = 66 x 3 , 366 MHz = 66 x 5.5 , 400 MHz = 100 x 4 , 600 MHz = 100 x 6 หรือ 667 MHz = 133 x 5 เป็นต้นดังนั้น หลักการเพิ่มความเร็วให้กับ CPU แบบง่าย ๆ ก็คือ ให้เพิ่มค่าของ FSB หรือ ตัวคูณเข้าไป เช่นจาก CPU ตัวเดิมเป็น 400 MHz ที่ 100 x 4 เราอาจจะตั้งค่าใหม่เป็น 100 x 4.5 แทนก็จะได้ความเร็ว 450 MHz ครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะง่ายอะไรขนาดนั้น สำหรับ CPU ของ AMD เช่น K6ll , K6ll ก็อาจจะใช้วิธีนี้ได้เลยแต่หากเป็น CPU ของ Intel รุ่นหลัง ๆ จะมีการล็อคตัวคูณมาจากโรงงานไว้แล้่วเพื่อป้องกันผู้ขายหรือร้านค้านำมาทำ Over Clock แล้วลบตัวเลขความเร็วบนซิป โดยพิมพ์ตัวเลขค่าความเร็วที่สูงกว่าแทน นำมาหลอกขายลูกค้าหรือที่เรียกว่า CPU Remark ครับ ดังนั้นการ Over Clock CPU ของ Intel ก็จะไม่สามารถใช้วิธีการเพิ่มตัวคูณได้นะครับ ต้องใช้วิธีการเพิ่ม FSB อย่างเดียวเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การสร้าง Keyboard บนหน้าจอคอมพิวเตอร์(มีด้วยรึ)

การสร้างคีย์บอร์ดบนหน้าจอ อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ทำให้ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
หรอกนะครับ แต่อยากให้รู้ว่ามัีนสามารถทำได้ และเป็นเกร็ดความรู้ให้ท่านได้
เพราะหลายท่านก็คงไม่เคยรู้แน่เลยใช่ไหมครับ เรามาเริ่มกันเลย
1. ใ้ห้ท่านเปิดหน้าต่าง Run ขึ้นมาครับ(Win+R)
2. พิมพ์ข้อความ OSK เข้าไปแล้วกด Enter เท่านี้ท่านก็จะเห็นรูปคีย์บอร์ดขึ้นมาแล้วละ่ครับ
3. อีกวิธี ก็คือให้ท่านคลิกที่ Start>All program>Accessories>Accessibility เลือก On-ScreenKeyboard
3. การใช้งานคีย์บอร์ดท่านต้องใช้เมาส์ชี้ปุ่มที่ต้องการใช้แล้วก็ คลิก

ที่มา http://www.smiletips.com/Tips/Windowtips/windowtips20.asp
Eve
หลายครั้งที่ท่านต้องรอนานกับการโหลดเว็บไซต์บางเว็บเพียงเพื่ออ่านข้อมูลบางข้อมูลที่ต้องการ
ทางออกที่ดีมากๆอย่างหนึ่งก็คือการไม่โหลดรูปภาพ จะทำให้การโหลดของท่านเร็วขึ้นมาเลยละ่ครับ
เพราะบางเว็บไซต์มีรูปขนาดใหญ่ทำให้ต้องใช้เวลาในการโหลดนาน เข้าวิธีการกันเลย
1. เปิดหน้าต่าง IE ขึ้นมาก่อนครับ
2. คลิกที่เมนู Internet Options
3. คลิกที่แท็บ Advance แล้วเลื่อนสกอร์ลงมาที่หัวข้อ Multimedia
4. คลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Show pictures แล้วคลิก OK แล้วทำการโหลดเว็บไซต์ได้เลย
รูปทั้งหลายก็จะไม่มาให้ท่านเห็นเลยครับ แต่ท่านก็โหลดได้เร็วกว่าเดิมนะครับ ลองดู



ที่มา http://www.smiletips.com/Tips/Internettips/IEtips/IEtips13.asp
Eve

20 สุดยอด วิธีแก้ปัญหากวนใจชาว Windows

โอ้สวรรค์! เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ระบบ Windows เป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย ปัญหาพวกระบบค้างและบั๊กต่างๆ ที่มาคอยกวนใจเราชาว XP ก็หาได้ยากยิ่งนัก เอาล่ะ…พอเหอะ! ที่ชาวบ้านเค้าจะเผ่นหนีไปใช้ Linux หรือ OS อื่นๆ กันหมด เพราะพวกเค้าเริ่มทนไม่ได้กับปัญหาเหล่านั้นแล้วล่ะ
จริงๆ แล้วคุณก็พอแก้ปัญหาได้อยู่ใช่มั้ย? คุณมี System Restore ที่ใช้แก้ปัญหาแบบฟันฉับเดียวรักษาทุกโรค หรือถ้าอาการหนักจริงๆ ก็เสกคาถา [F8] ตูมเดียวให้ระบบเลือกบูท Last Known Good Configuration เป็นท่าไม้ตายสุดยอด
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยให้คุณจัดการกับ เรื่องยุ่งยากทั้งหลายกับ 20 วิธีแก้ปัญหาชิวๆ ที่แม้ไม่สามารถชุบชีวิต PC ที่ขึ้นสวรรค์ไปแล้วให้กลับมาได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณสุขภาพจิตดีขึ้นบ้างล่ะน่า ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมพังหรือเน็ตเวิร์กทำงานแปลกๆ หรือเมื่อระบบไม่ยอมให้คุณใช้งานใดๆ เรารวบรวมไว้ให้คุณทั้งหมดแล้ว

1. วิธีใช้งาน CHKDISK แบบเร็ว
เมื่อแน่ใจว่าฮาร์ดดิสก์เกิดอาการเพี้ยนๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการแปลกๆ ตอนบูทเครื่อง, เปิดโปรแกรมไม่ค่อยขึ้น หรือมีข้อความแปลกๆ ไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นมา คงต้องใช้ Chkdsk ที่มากับ Windows XP เพื่อสแกนตรวจหาปัญหาใน sector ของฮาร์ดดิสก์และซ่อมมันให้เรียบร้อย แม้ว่าคุณสามารถเปิดโปรแกรมได้จาก Recovery Console แต่ยังมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น เพียงคลิกขวาที่ My Computer แล้วเลือก Properties มองหาช่องที่เขียนว่า Tools แล้วคุณจะเห็นปุ่มที่ใช้เรียกมันขึ้นมา หากคุณต้องการสแกนไดรฟ์หลัก คุณจะต้องสั่งรีบูทเครื่องหลังจากเสร็จสิ้นการสแกนด้ วย

2. ส่ง Error Reporting ไม่ได้
มันเป็นฟังก์ชันที่ดีมากๆ ที่ให้เราๆ สามารถส่งข้อมูลว่าโปรแกรมไหนเสียยังไงไปให้ Microsoft ได้ แต่บางทีฟังก์ชัน Error Reporting ก็เสียซะเองนี่สิ มันเป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโปรแกรมออนไลน์ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกมหรืออินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ ก็มักจะมีปัญหาระบบภายในอยู่บ่อยๆ หากต้องการให้มันหายเป็นปกติ ก็ใส่ซีดีติดตั้ง XP เข้าไปแล้วพิมพ์คำว่า sfc/scannow ตรงหน้าต่าง Run เท่านี้ก็เรียบร้อย

3. เชื่อมต่อสัญญาณเน็ตเวิร์กไร้สายไม่ได้
หากคุณไม่สามารถเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กไร้สายได้ทั้งๆ ที่การทำงานของ WiFi ก็บอกคุณอยู่โท่งๆ ว่ามันมีสัญญาณเต็มเปี่ยม บางทีปัญหาอาจจะมาจากโปรแกรม Wireless Zero Configuration ของอีตา Microsoft ก็ได้ ให้คุณคลิกขวาที่ My Computer เลือก Manager แล้วขยาย Services and Applications ออกมา ภายใต้ Services หาคำว่า Wireless Zero Configuration แล้วดับเบิ้ลคลิก คุณจะมาโผล่ที่แท็บ General สั่ง Stop เพื่อหยุดการทำงานของมัน รอสักครู่แล้วสั่งเปิดการทำงานของมันใหม่ driver อุปกรณ์ไร้สายน่าจะทำงานถูกต้องแล้ว และคุณก็น่าจะเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว

4. ลืมรหัสผ่าน ทำไงดี?
หากคุณทำรหัสผ่านของ User Account หาย รีบูทเข้า Safe Mode เลือก log on user เป็น Administrator ปกติ account นี้จะถูกซ่อนอยู่ (ซึ่งคุณจะได้สิทธิ์และอำนาจเป็นผู้ดูแลระบบ) และหากคุณไม่เคยสร้าง account นี้ตอนติดตั้ง XP ก็กดเข้าไปได้เลย ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน จากนั้นเปิด Control Panel แล้วสั่ง reset the User Account passwords เท่านี้ก็เรียบร้อย

5. ป้องกันการติดตั้ง driver
หากคุณต้องการเก็บ driver ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออยู่ในขั้นทดลองให้พ้ นจากระบบของคุณ คุณก็สามารถสั่งให้ Windows XP จัดการปิดบัญชีเรื่องนี้ได้เลย ให้เปิด System Properties แล้วคลิกแท็บ Hardware และเลือก Driver Signing ที่นี่คุณสามารถสั่งปิดกั้น driver ที่ไม่ได้เรื่องทั้งหมด (หรือจะให้มีข้อความขึ้นเตือนก่อนก็ได้) สั่งให้ป้องกันทั้งระบบ หรือไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ระบบคนอื่นๆ มาติดตั้ง driver ซี้ซั้วและอาจทำให้คุณตกที่นั่งลำบากได้

6. สำรองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไว้ขณะกำลังเขียนแผ่น CD/DVD
หากคุณสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เขียนแผ่น CD หรือ DVD พื้นที่ฮาร์ดดิสก์จะลดลงไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าโปรแกรมเขียนแผ่นกำลังใช้พื้นที่ฮาร์ ดดิสก์ในการเก็บอิมเมจไฟล์ไว้ตรงไหนสักแห่งในเครื่อง PC ของคุณ ลองกลับไปดูตัวเลือกของโปรแกรมแล้วปิดคำสั่งเล่นซ่อน หาไฟล์อิมเมจนี้ซะ อ้อ! ปกติแล้วมันน่าจะเก็บไฟล์ไว้ที่ My Documents ไม่ก็ Program Files

7. หลีกเลี่ยงปัญหาตอนบูทเครื่อง
หากระบบของคุณบูทช้าแบบสุดๆ และคุณก็ไม่ต้องการติดตั้งระบบใหม่ งั้นลองฟังก์ชัน Hibernate แทนการปิดเครื่องดูสิ คุณสามารถเปิดการใช้งานนี้ได้โดยไปที่ Power Options (ซึ่งอยู่ใน Display Properties ของ Screen Saver) จากนั้นเมื่อคุณคลิก Turn Off Computer ให้กด [Shift] ค้างไว้แล้วเลือก Stand By เพื่อใช้คำสั่ง Hibernate นี้

8. อยากลบไฟล์งี่เง่าที่ลบยังไงก็ลบไม่ออก
หากคุณไม่สามารถลบไฟล์ด้วยวิธีธรรมดาๆ แล้ว ให้เปิด Command Prompt แล้วเปลี่ยน path ไปให้ถึงที่ที่ไฟล์เจ้าปัญหานั้นอยู่ จากนั้นสั่งปิด explorer.exe โดยใช้โปรแกรม Task Manager เลือกแท็บ Processes กลับไปที่ Command Prompt แล้วพิมพ์ DEL เว้นวรรค ตามด้วยชื่อไฟล์ที่ต้องการลบ New Task แล้วพิมพ์คำว่า explorer.exeเสร็จแล้วก็เปิด Task Manager คลิก File เพื่อให้หน้าจอเดสก์ท็อปกลับมาเป็นอย่างเดิม

9. ไฟล์ไม่ได้มาตรฐานไสหัวไปให้หมด!!
อะจ๊าก! ค้างอีกแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้น?
คุณไม่เพียงแค่อยู่ให้ห่างจาก driver ที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างเดียวเท่านั้น ไฟล์ที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เก ิดปัญหาได้ไม่แพ้กัน เพราะว่าระบบ PC มีการออกแบบที่ดีเยี่ยม (จริงแล้วห่วยสุดๆ ) แบบว่าไฟล์ระบบอาจถูกทับโดยการติดตั้งโปรแกรมหรืออุป กรณ์ต่างๆ หรือไม่ก็อาจถูกอัพเดทจากโปรแกรมหรือ malware ตัวร้ายได้เสมอ ดังนั้นคุณอาจต้องสแกนฮาร์ดดิสก์ของคุณแม้ไม่อยากทำเ ลยก็ตาม เพียงคลิก Run แล้วพิมพ์ sigverif โปรแกรม File Signature Verification ก็จะเปิดขึ้นมา ให้คุณคลิก Start เพื่อเริ่มทำงานได้เลย อย่าลืมเตรียมแผ่นติดตั้ง XP ไว้ให้พร้อมด้วยนะ
“หากระบบของคุณบูทช้า และคุณก็ไม่ต้องการติดตั้งระบบใหม่ ลองฟังก์ชัน Hibernate แทนการปิดเครื่องดูสิ”

10. ไดรฟ์ CD/DVD หายไปไหนแว้ว!?
เพราะว่า Windows XP มีเรื่องที่ต้องจดจำเยอะแยะไปหมด ฉะนั้น…บางทีเฮียเค้าเลยเกิดอัลไซเมอร์รับประทาน ลืมไดรฟ์ CD/DVD ของคุณไป แม้ว่ามันจะเห็นอยู่ทนโท่ใน Device Manager ก็ตาม ในกรณีนี้ให้คุณเปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY-LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentConstrolSet\Control\Cl ass\{4D36E965-E325-11CE-EBC1-08002BE10318} แล้วลบค่าใน UpperFilters กับ LowerFilters ออกไป จากนั้นรีบูทเครื่อง 1 ครั้ง คุณต้องติดตั้งโปรแกรมเขียนแผ่นใหม่ด้วยแหละ…ซวย 2 ชั้นของจริง

11. ไฟล์/โฟลเดอร์นี้…ฉันจอง
ถ้าหากคุณไม่สามารถทำอะไรกับไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่อยู่ ใน Windows XP ได้ เนื่องจากอาจมีใครใช้อยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณอาจต้องติดป้ายแสดงความเป็นเจ้าของไฟล์/โฟลเดอร์ไว้ โดยคลิกขวาที่ไฟล์/โฟลเดอร์ที่ต้องการแล้วเลือก Properties จากนั้นเลือก Security, Advance และ Owner ตามลำดับ ตรงรายชื่อให้คุณเลือก username ของคุณ (หรือ Administrator ถ้ามี) เสร็จแล้วเลือก Replace owner on subcontainers and objects

12. ยกเลิกการทำดัชนีไฟล์ (File Index)
หากคุณไม่ได้มีความจำเป็นเลิศเหมือนพวกปากหอยปากปู และปกติคุณก็ใช้โปรแกรม Search ในการค้นหาเฉพาะไฟล์เอกสารกับรูปภาพยุคพระเจ้าเหาแค่ นั้น การทำดัชนีไฟล์ดูจะเป็นการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกิน ไปจนทำให้อะไรๆ ช้าลงไป ถ้าอยากจะปิดมัน…ง่ายมาก เพียงเปิด My Computer คลิกขวาที่ไอคอนฮาร์ดดิสก์ เลือก Properties ให้ดูที่แท็บ General แล้วคุณจะเห็นตัวเลือกการทำดัชนีไฟล์ ให้สั่งปิดมันไปเลย…จบ

13. Firewall ที่น่ารำคาญ
หาก Firewall ที่ติดตั้งมากับ Windows ทำให้คุณประสาทเสียและคุณก็ไม่รู้จะปิดมันจาก control Panel ยังไง (เพราะว่าตัวเลือกที่จะปิด มันเป็นสีเทาอยู่น่ะสิ) ให้คุณเปิดหน้าต่าง Run แล้วพิมพ์ net start SharedAccess ไม่ต้องมีเครื่องหมายคำพูดนะ และกลับกัน…หากคุณต้องการปิดมันก็ให้พิมพ์ net stop SharedAccess

14. อย่าใช้ Super Prefetch เลยคุณ
ไอ้ที่เค้าคุยไว้ว่าจะมีฟังก์ชันที่เข้ามาช่วย registry ให้สามารถทำงานได้เร็วฟ้าผ่า ด้วยเทคโนโลยี Super Prefetch ที่มีเฉพาะ Service Pack 2 กับ Windows Vista น่ะ ขี้โม้สุดๆ เลยคุณ เพราะแม้ว่าจะปรับ registry ไปแล้ว ระบบของคุณก็ยังทำงานช้าเป็นเต่าอยู่ดี เว้นแต่คุณจะสั่ง defrag ไฟล์ Prefetch ซะก่อน เพียงเปิดหน้าต่าง Run แล้วพิมพ์ defrag c: -b

15. Logon ให้เร็วขึ้น
Autoexec.bat เป็นไฟล์ที่ใช้สั่งให้โปรแกรมทำงานตอนบูทเข้าระบบ Windows แต่ก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะว่า Windows XP ทำงานด้วยขั้นตอนที่ต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโปรแกรมที่ยังมีไฟล์นี้อยู่ และบางทีก็อาจทำให้การเข้าระบบเร็วขึ้นก็ได้ งั้นอย่ารอช้า รีบเปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\Winlogon แล้วสร้างหรือแก้ไขค่าของ ParseAutoexec DWORD ให้เป็น 0 จากนั้นรีบูทเครื่องดู

16. ปิดเครื่องแล้วค้าง ทำไงดี?
ถ้าคลิก Shut Down แล้วอีก 20 นาทีต่อมาเครื่องของคุณยังค้างอยู่ แถมยังเจอปัญหาว่า Adobe Reader เพี้ยนไปแล้ว ปิดไม่ลงจ้า!! คงน่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ แต่ไม่เป็นไร ให้คุณไปจบชีวิตเพี้ยนๆ ของมันที่ RegEdit และเข้าไปเปลี่ยนค่าของ HKEY_USERS\DEFAULT\Control Panel\Desktop\AutoEndTasks ให้เป็น 1 ค่านี้จะทำให้ Windows XP หลับหูหลับตาปิดข้อความแจ้งปัญหาที่จะทำให้ระบบของคุ ณทำงานช้าลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด

17. ปัญหาโปรแกรมไม่เสถียร
ถ้าอยู่ๆ โปรแกรมที่เคยใช้งานดีๆ เกิดดื้อแพ่ง ระเบิดตัวเองหรือค้างแหง่กๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นไปได้ว่าไฟล์ .dll ของมันเองอาจทำงานไม่เรียบร้อยตอนที่คุณเลิกใช้โปรแก รมนั้นๆ พอนานเข้า ก็เลยยิ่งไม่เสถียรหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าแล้วก็เปิด RegEdit แล้วไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\Curr entVersion\Explorer แล้วสร้างค่า DWORD ที่ชื่อว่า AlwaysUnloadDll ขึ้นมาใหม่ แล้วตั้งค่าให้เป็น 1

18. ล้างบางข้อมูลตอนติดตั้งโปรแกรม
เมื่อเวลาติดตั้งโปรแกรมผิดพลาดและคุณไม่สามารถติดตั ้งใหม่ได้ (มักมีอะไรบางอย่างผิดปกติจนทำให้เกิดความผิดพลาดในซ อฟต์แวร์ Java) ดังนั้นคุณจะต้องเอาไฟล์เน่าๆ ที่ค้างอยู่ในเครื่อง PC ของคุณตอนติดตั้งครั้งแรกออกไปซะก่อน แต่ถ้าจะมานั่งหาเองคงไม่หมู เพราะไฟล์ส่วนใหญ่จะหลบอยู่ตามหลืบต่างๆ ทางที่ดีควรใช้โปรแกรม Windows Installer CleanUp จัดการให้ดีกว่า คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมนี้ได้ที่ support.microsoft.com/kb/290301 แล้วใช้มันสแกนหาเศษซากไฟล์ที่เหลืออยู่ติดตั้งเพื่อ ให้คุณลบมันทิ้งไปเอง

19. Defragment สะดุด…ทำไงดี?
ถ้าเกิดโปรแกรม Defragment ที่ติดมากับ Windows ทำงานอืดลงกว่าเมื่อก่อน หรือไม่ยอมทำงานให้คุณเลย อาจเป็นเพราะว่ามี sector ในฮาร์ดดิสก์เสียจนทำให้ระบบหยุดการทำงานก็เป็นได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว สาเหตุน่าจะมาจากไฟล์สำรองที่โปรแกรมเว็บบราวเซอร์เก ็บไว้ทำ cache เป็นตัวก่อปัญหามากกว่า วิธีง่ายๆ ที่จะเขี่ยไฟล์เหล่านี้ออกไป ก็เพียงแค่ใช้โปรแกรม Chkdsk ก่อนทุกครั้งที่จะใช้โปรแกรม Defragmenter ก็เท่านั้น

20. ครั้นจะปิดโปรแกรม Outlook มันช่างยากเย็นกว่าที่คุณคิด…
หากคุณใช้ Outlook 2003 อยู่ ก็คงเห็นไอคอนโปรแกรมอยู่ตรง system tray และมันก็ยังทำงานไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าคุณจะสั่งปิดโปรแกรมไปแล้วก็ตาม แบบว่ามันยังตรวจเช็คอีเมลอยู่ แต่ไม่ยอมให้คุณใช้งานมันแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ให้คุณใช้ Task Manager สั่งจับตายทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Outlook ให้หมด จากนั้นค่อยเปิด Outlook ใหม่แล้วคลิก Tools, Options, Other, Advanced Options และเลือก COM Add-ins ตามลำดับ พวกโปรแกรมเสริมที่เห็นนี้คือโปรแกรมยี่ห้ออื่น (เช่น ตัวสแกนไวรัส) และหากโปรแกรมเหล่านี้ยังทำงานอยู่ตอนที่คุณสั่งปิดโ ปรแกรมไป (แบบว่ายังสแกนอีเมลของคุณอยู่) โปรแกรมนั้นก็จะยังทำงานที่ค้างอยู่ต่อไป ดังนั้นให้คุณยกเลิกการใช้ Add-ins นี้ทีละอันจนกว่าคุณจะเจอว่าโปรแกรมไหนที่สร้างปัญหา ให้คุณ

ที่มา thaigaming.com
Eve

แป้นพิมพ์แบบดีโวแร็ค


แป้นพิมดีโวแร็ค(Dvorak keyboard)
คือผังแป้นพิมพ์อีกหนึ่งทางเลือกจากแบบQWERTY ซึ่ง August Dvorak เป็นผู้คิดค้นผังแป้นพิมพ์Dvorak และได้จดสิทธิบัตรในปีพ.ศ.2479 โดยแป้นพิมพ์ Dvorak ได้ออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพ และความเหนื่อยล้าในการพิมพ์ที่เกิดขึ้นด้วยแบบQWERTY โดยแบบDvorak นั้นจะเป็นในลักษณะที่เรียงตัวอักษรตามระดับความถี่ที่ใช้แทน เช่นตัวอักษรe ที่ใช้บ่อยนั้นจะอยู่ในแถวกลาง ทำให้การเคลื่อนไหวของมือน้อยลงเวลาพิมพ์ ปัจจุบันนี้ระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่รองรับผังแป้นพิพ์Dvorak



ที่มา: http://wikipedia.org/

saRunya ^^ 084

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Bluetooth กับ Wi-Fi

Bluetooth ไม่ใช่ Wi-Fi แต่มันคือเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้สัญญาณวิทยุคลื่นสั้น โดยใช้สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือเครื่องอื่น ชุดหูฟังไร้สาย คอมพิวเตอร์ และพีดีเอกับโทรศัพท์มือถือของคุณ ซึ่ง Bluetooth บนมือถือจะสามารถเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดีในระยะไม่เกิน 30 ฟุต สำหรับ Wi-Fi ก็เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายเหมือนกัน แต่จะมีรัศมีการใช้งานที่ไกลกว่ามาก และโดยทั่วไปจะใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

เครดิต::http://www.arip.co.th/tips.php?id=404761

พัณณิตา(นุ้ย)

ใช้ Facebook อย่างปลอดภัย

ข่าวคราวเกี่ยวกับ Facebook ในช่วงที่ผ่านมามีมากมาย และหลายๆ เรื่องก็เกี่ยวกับเรื่องหลุดๆ ลับๆ ที่ไปโผล่อยู่บน Facebook อย่างล่าสุดมีกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของหัวหน้า MI6 (ต้นสังกัดของสายลับอย่างเจมส์ บอนด์) เกิดหลุดออกไปบนอินเทอร์เน็ตผ่าน Facebook อย่างไม่น่าให้อภัย เพราะทางการอังกฤษต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อปิดบังข้อมูลดังกล่าว แต่ภรรยาของหัวหน้า MI6 ที่ว่ากลับเผยแพร่ทั้งภาพและรายละเอียดส่วนตัวในที่สาธารณะซะงั้น

เสน่ห์ ของ Facebook มีหลายอย่าง แน่นอนว่าการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเพื่อนฝูงที่รู้จัก ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้แม้แต่บิลล์ เกตส์ แห่งไมโครซอฟท์ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันบน Facebook แม้ล่าสุดจะมีข่าวว่าเลิกเล่นไปแล้วก็ตาม เพราะโดนขอเป็นเพื่อนเยอะเกินจะรับไหว

ว่าไปแล้วสิ่งที่หลายคนกลัวมาก ที่สุดก็คือ เรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรให้คนอื่นรู้ แต่กลับถูกเปิดเผยไว้บนวอลล์ของ Facebook ที่ทำให้ทุกคนที่คุณรู้จักได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมไปด้วย ซึ่งถ้าคนที่คุณเป็นเพื่อนด้วยบน Facebook นั้นมีแต่เพื่อนสนิทจริงๆ นั่นก็คงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่หลายครั้งเพื่อนเหล่านั้น -- ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นเจ้านายบ้าง คู่ค้าทางธุรกิจบ้าง ลูกน้องบ้าง หรือแฟนเก่าบ้าง

รับรองว่าคุณต้องมีหลายๆ เรื่องที่ไม่อยากให้คนเหล่านี้ได้รับรู้แน่นอน ซึ่งหากไม่เตรียมการให้ดีๆ รับรองว่าการแก้ไขปัญหาทีหลังนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์หน้าตาให้ต้องปกป้อง การเปิดโล่งบัญชี Facebook ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างยิ่ง อย่าลืมว่า Facebook ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในด้านธุรกิจ อย่าลืมพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ Facebook แบบเต็มตัว:

  • Facebook ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นโดยคนหนุ่มสาวเพื่อคนหนุ่มสาว ก่อนหน้านี้อีเมล์ที่จะสมัครเข้าไปเปิดบริการ Facebook ได้ต้องเป็นอีเมล์ที่ลงท้ายด้วย .edu ซึ่งก็คือ คนที่เรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ และแม้กฎเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบังคับใช้แล้วในวันนี้ แต่ดีเอ็นเอของ Facebook ไม่เปลี่ยนแปลง เว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลายคนได้โอ้อวดวีรกรรมสมัยเรียน ไม่น่าจะช่วยให้ภาพพจน์ความเป็นมืออาชีพทางธุรกิจของคุณดูดีขึ้นแม้แต่น้อย
  • อิน เทอร์เฟซการใช้งานที่ดูยุ่งยาก เป็นผลมาจากแนวทางการออกแบบเพื่อผู้ใช้ซึ่งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มีเซนส์ในการเล่นวิดีโอเกม และก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางธุรกิจเลยแม้แต่น้อย ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ง่ายและแก้ไขได้ยากเมื่ออยู่บน Facebook ซึ่งต่างจากแอพพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในธุรกิจโดยเฉพาะ
  • คุณไม่ สามารถคาดเดาหรือควบคุมได้เลยว่า จะมีใครที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนของคุณบ้างบน Facebook จะตอบรับอย่างไรถ้าเจ้านายหรือลูกค้าของคุณขอเป็นเพื่อนบน Facebook ด้วย? จะปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาเห็นพฤติกรรมความร่าเริงแบบเกินตัวของคุณสมัย เรียนหรือที่ยังเป็นอยู่แม้แต่ในขณะนี้ หรือว่าจะกล้าปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนดังกล่าว? นี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนปวดหัวอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเล่น Facebook
  • Facebook มักปล่อยคุณสมบัติใหม่ๆ ให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกันโดยไม่มีประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีคุณสมบัติที่ติดตามการชอปปิงของผู้ใช้แล้วเผยแพร่ให้ คนอื่นๆ ได้รู้กันทั่ว ซึ่งน่นอนว่าโดนประท้วงโดยผู้ใช้อย่างแรง และตามมาด้วยคดีความละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างๆ มากมาย แต่รับรองว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นอะไรแบบนี้บน Facebook แน่นอน ความจริงต้องตั้งคำถามตั้งแต่แรกแล้วว่า Facebook เก็บบันทึกข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ของผู้ใช้ไปตั้งแต่แรกเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?
  • การ หลอกลวงทาง Facebook กำลังเริ่มระบาด มีกรณีที่ Facebook ของคนรู้จักโดนแฮก และมีการส่งข้อความหาเพื่อนหลายๆ คนทำนองว่าต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน และเริ่มมีการแช็ตกันจริงจังเพื่อเริ่มกระบวนการหลอกลวง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ระแวงอะไร มันก็เป็นเพียงแค่คำร้องขอจากเพื่อนคนหนึ่งที่คุณรู้จักและเต็มใจจะช่วย เหลือ แต่บางครั้งอาจเป็นเพียงแค่การอาศัยประโยชน์จาก Facebook โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย หากเจอกับสถานการณ์แบบนี้จริง ติดต่อกันโดยตรงดีที่สุด จะทางโทรศัพท์หรือจะนัดเจอกันก็ได้ หากใครพอจะได้เค้าลางว่ากำลังโดนหลอก แจ้งตำรวจเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด

หรือ บางครั้งคุณอาจได้รับคำร้องขอเป็นเพื่อนผ่าน Facebook ที่ชักชวนให้ดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์วิดีโอ ซึ่งโปรแกรมที่ว่านั้นแท้จริงก็คือ โปรแกรมอันตรายที่กำลังจะแอบแฝงตัวเข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเรา ซึ่งอาจจะมีการชักชวนทั้งผ่านทางอีเมล์หรือหน้าเว็บ และด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกันบน Facebook ก็ทำให้หลายคนเผอเรอไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาภายหลัง

แต่ อย่าเพิ่งหมดหวัง คุณสามารถใช้ Facebook อย่างปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง วิจารณญาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ได้พอสมควร สำหรับมือใหม่เพิ่งหัดใช้ ลองเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ที่ Privacy Settings จากเมนู Settings ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนรายละเอียดในการเผยแพร่ภาพถ่าย ข้อความ ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำงานได้ ซึ่งรวมไปถึงสิ่งที่สมาชิกคนอื่นๆ จะมองเห็นด้วย ฉะนั้นเจ้านายหรือแฟนเก่าของคุณถูกกำหนดให้เห็นข้อมูลที่แตกต่างออกไปบน Facebook ของคุณ อย่าลืมว่าการปล่อยให้คนทั่วไปที่ไม่รู้จักเห็นข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่ เกี่ยวกับคุณนั้น ไม่ใช่คำตอบที่ฉลาดซักเท่าไรนัก

อีกหนึ่งคุณสมบัติ ที่ต้องระวังก็คือ "Find Friends" ซึ่งยอมให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของเว็บเมล์อย่าง Gmail หรือ Yahoo! Mail เพื่อดึงเอาข้อมูลรายชื่อคนที่คุณรู้จักมาใส่ไว้บน Facebook -- อย่าลืมดูให้แน่ใจว่า รายชื่อเหล่านั้นไม่มีคนที่คุณติดต่อทางธุรกิจอยู่ด้วย เพราะนั่นอาจจะเสี่ยงต่อการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่ไม่เหมาะไม่ควรให้แก่คน เหล่านั้นได้ทราบ

ส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดการใส่ แท็กชื่อของคุณเข้ากับรูปภาพต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ควรทำ เพราะบางครั้งคุณก็ไม่อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นภาพส่วนตัวบางอย่าง ที่โดนแท็กจากคนอื่นแต่ใส่เป็นชื่อของคุณเพื่ออ้างอิงมาที่ตัวคุณอย่าง ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ฉะนั้นก่อนจะเริ่มใช้ Facebook อย่าลืมสละเวลาซักหนึ่งชั่วโมงเพื่อรีวิวการตั้งค่าต่างๆ เหล่านี้ตั้งแต่แรกเริ่ม การเปิดใช้บัญชี Facebook ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การตั้งค่าให้เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อไม่ให้เรื่องลับๆ ของคุณถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง อาจต้องใช้เวลาบ้างพอสมควร

ทางออกอีก ทางหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การจัดแบ่งกลุ่มความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เช่น หากมีเพื่อนนักธุรกิจหรือลูกค้าที่ต้องการติดต่อกับคุณผ่านเว็บไซต์เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ การหันไปใช้ LinkedIn หรือเว็บอื่นๆ ก็น่าจะดีกว่าการที่รวมเอาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาไว้ภายใต้ Facebook แถมคุณยังมีข้ออ้างดีๆ ในการปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนบน Facebook และชักชวนให้คนรู้จักทางธุรกิจหันไปคบค้าสมาคมกันบนเว็บอื่นที่เฉพาะทางมาก ขึ้นด้วย


เครดิต::http://www.arip.co.th/articles.php?id=407323

พัณณิตา(นุ้ย)

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553


แก็ดเจ็ท แก้วกาแฟอัจฉริยะ ปั่นได้ไม่ต้องคน




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 23 มกราคม ว่า เทคโนโลยีมีส่วนช่วยคลายเครียดในที่ทำงาน เมื่อมีของเล่นไอเดียเจ๋ง เอาไว้เล่นสนุกบนโต๊ะแถมไม่เสียงาน สำหรับเทคโนโลยีดังกล่าว คือ แก็ดเจ็ทแก้วกาแฟอัจฉริยะ ช่วยให้ไม่ต้องเปลืองแรงคนกาแฟอีกต่อไป

โดยแกดเจ็ทดังกล่าว ใช้งานเป็นแก้วใส่เครื่องดื่มเหมือนปรกติทั่วไป แตกต่างที่มีใบพัดอยู่ก้นแก้ว เทคโนโลยีไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่ใส่ถ่านแล้วกดปุ่ม การทำงานคล้ายกับเครื่องปั่นน้ำผลไม้

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีซับซ้อน หรือล้ำลึก แต่ช่วยให้เวลาพักจิบกาแฟในออฟฟิศมีสีสันขึ้นทันตา


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

เตือน!!! 20 พาสเวิร์ดเสี่ยงโดนแฮค

ยังคงต้องเตือนกันอยู่เป็นประจำสำหรับประเด็นความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเรื่องของการตั้งรหัสผ่าน หรือพาสเวิร์ด ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ 32 ล้านพาสเวิร์ดเมื่อเดือนที่ผ่านมาพบว่า ผู้ใช้ยังคงเลือกที่จะใช้พาสเวิร์ดที่เป็นคำสั้นๆ และเป็นคำง่ายๆ ซึ่งทำให้แฮคเกอร์สามารถเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ได้เกือบ 300,000 รายภายในการทดลองแฮคเพียงครั้งเดียว

Imperva บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้วิเคราะห์ 32 ล้านพาสเวิร์ดในเดือนธันวาคม 2009 จากฐานข้อมูลลูกค้าของ RockYou ที่หลุดออกมาพบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้รหัสผ่านที่สั้น และง่ายมาก ซึ่งทำให้แฮคเกอร์สามารถเข้าถึงบัญชีของผู้ใช้เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเดือนที่แล้ว RockYou เว็บไซต์โซเชียลรายงานว่า มีความพยายามจากแฮคเกอร์ 1 ถึง 2 รายในการที่จะเข้าถึงฐานข้อมูล ซึ่งมียูสเซอร์เนม และพาสเวิร์ดของลูกค้าอยู่มากถึง 32 ล้านรายที่ยังไม่ได้ผ่านการเข้ารหัส หลังจากนักวิเคราะห์จาก Imperva ได้เข้าไปตรวจสอบพาสเวิร์ดของผู้ใช้ในฐานข้อมูลก็พบว่า แฮคเกอร์แค่ใช้ 5,000 พาสเวิร์ดที่ใช้กันมากที่สุดก็สามารถฉกบัญชีผู้ใช้ได้มากถึง 0.9% (ประมาณ 300,000 ราย) ได้แล้ว และหากพยายามทำ 116 ครังจะได้เพิ่มเป็น 5% และจะได้เพิ่มเป็น 20% เมื่อเพิ่มความพยายามในการแฮคเป็น 5,000 ครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับความสามารถของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน หรืออาจจะใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ สำหรับ 20 พาสเวิร์ดทีมีกันใช้มากที่สุด และโดนแฮคได้ง่ายที่สุดในการทดสอบดังกล่าวมีดังนี้
  1. "123456" พบ 290,731 ราย
  2. "12345" พบ 78,078 ราย
  3. "123456789" พบ 76,790 ราย
  4. "Password" พบ 61,958 ราย
  5. "iloveyou" พบ 51,622 ราย
  6. "princess" พบ 35,231 ราย
  7. "rockyou" พบ 22,588 ราย
  8. "1234567" พบ 21,726 ราย
  9. "12345678" พบ 20,553 ราย
  10. "abc123" พบ 17,542 ราย
  11. "Nicole" พบ 17,168 ราย
  12. "Daniel" พบ 16,409 ราย
  13. "babygirl" พบ 16,094 ราย
  14. "monkey" พบ 15,294 ราย
  15. "Jessica" พบ 15,162 ราย
  16. "Lovely" พบ 14,950 ราย
  17. "michael" พบ 14,898 ราย
  18. "Ashley" พบ 14,329 ราย
  19. "654321" พบ 13,984 ราย
  20. "Qwerty" พบ 13,856 ราย

Imperva เปิดเผยว่า การเลือกใช้พาสเวิร์ดเป็นคำสั้นๆ และง่ายนั้น อาจโดนแฮคได้ด้วยวิธี พื้นฐานที่ไม่ต้องความเชี่ยวชาญมากนักก็ทำได้แล้ว ผู้ใช้ที่มีข้อมูลสำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้พาสเวิร์ดในลักษณะนี้ สำหรับพาสเวิร์ดที่ปลอดภัยอย่างน้อยต้องมี 8 ตัวอักษร ว่าแต่ใน 20 พาสเวิร์ดที่ยกมาให้ดูนี้ มีตรงกับของเพื่อนๆบ้างหรือเปล่า


มดเอง

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ความหมายของ Virus,Worm,Trojan horse

ทั้งสามคำที่กล่าวมาเป็นชื่อของตัวป่วนที่แฮกเกอร์ใช้ส่งเข้ามาป่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งท่านจะได้ยินและ
เจอกับทั้งสามคำอยู่บ่อยๆซึ่งแต่ละคำมีความหมายที่แตกต่างกันไป ดังนี้ครับ
1. Virus เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่สร้างความปั่นป่วนไปจนถึงทำให้เกิดความเสียหายให้กับข้อมูลในฮาร์ดดิสก์
2. Worm มีคุณสมบัติในการแพร่กระจายตัวเองผ่านทางอีเมล
3. Trojan horse เป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านเพื่อกระทำการบางอย่าง เช่น แอบดาวน์โหลดโปรแกรมอันตรายเข้าไป ขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลสำคัญ ของท่านเป็น ซึ่งชื่อม้าโทรจัน นี้ได้มาจากตำนานการสงครามเมืองทรอย ซึ่งถ้าท่านได้ดูภาพยนต์เรื่อง Troy ท่านก็จะเข้าใจว่าได้ชื่อนี้มายังไงครับ


เครดิต::http://www.smiletips.com/Tips/Windowtips/windowtips53.asp


พัณณิตา(นุ้ย)

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ปัญหา อินเทอร์เน็ต ปี 52 ไวรัสคอมฯ ครองแชมป์

เนคเทค สรุปผลสำรวจฯ ชี้แนวโน้มซื้อของออนไลน์เพิ่ม รับบทบาทข่าวออนไลน์กระทบกับสื่อ นสพ.คาดปี 52 ยอดผู้ใช้เพิ่มเป็น 20% จากปี 51 ที่ 18%...
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) แถลงรายงานผลการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ประจำปี2552 นับเป็นครั้งที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลลักษณะพฤติกรรม และความคิดเห็นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในด้านต่างๆ สำหรับเป็นแนวทางเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาวงการอินเทอร์เน็ตใน ประเทศไทย
โดยการสำรวจครั้งนี้ดำเนินการด้วยรูปแบบออนไลน์ ตั้งแต่เดือน ส.ค.-ต.ค. 2552 จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 11,991 คน เพศหญิง 72.5% ชาย 22.5% อายุระหว่าง 20-29 ปี 42.2% รายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือน 1-2 หมื่นบาท 26.4% ระดับการศึกษาปริญญาตรี 58.8%สถานะการทำงาน 51.3% กรุงเทพฯ และปริมณฑล 54.9% โดยมีผลการสำรวจที่น่าสนใจ สรุปได้ดังนี้ จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากที่บ้าน 52.3% เพิ่มขึ้นจากเดิม 44.8% ส่วนการใช้ที่ทำงานลดลงเหลือ 37% จาก 44.9% ส่วนช่วงเวลาที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากสุด 20.01-24.00 น.37.3% และวิธีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ADSL 40.3% โดยบริการผ่านโทรศัพท์มือถือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
กิจกรรมที่ทำบนอินเทอร์เน็ตมากที่สุด คือ ค้นหาข้อมูล 29.7% อีเมล์ 21.9% ติดตามข่าว 9.3% อี-เลิร์นนิ่ง 8% ปัญหาสำคัญ 5 อันดับ ได้แก่ ไวรัสกวน 48.4% การสื่อสารล่าช้า 32.9% การมีแหล่งยั่วยุทางเพศ 24.2% อีเมล์ขยะ และความน่าเชื่อถือของข้อมูล19% ทั้งนี้ ประเด็นที่ควรได้รับการพิจารณา ได้แก่ การโจมตีจากไวรัสและการรักษาความมั่นคงของเครือข่าย 41.9% การกระจายความทั่วถึง 34.1% การหลอกลวงบนอินเทอร์เน็ต และอาชญากรรมอิเล็กทรอนิกส์ 29.8%
ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าและ บริการผ่านอินเทอร์เน็ต พบว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยเคยซื้อสินค้าออนไลน์ 47.8% ไม่เคยซื้อ 52.2% สาเหตุที่ไม่ซื้อสินค้าและบริการบนเทอร์เน็ต ไม่ไว้ใจผู้ขาย 61.3% ไม่สามารถจับต้องสินค้าได้ 59.9% ไม่มั่นใจระบบชำระเงิน 44.6% ขั้นตอนการซื้อยุ่งยาก 40.7% ไม่ต้องการให้ข้อมูลบัตรเครดิต 31.1% สินค้า และบริการที่สั่งซื้อบนอินเทอร์เน็ตมากที่สุด หนังสือ 36.3% การสั่งจองบริการต่างๆ 30.9% เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย 21.5%
ขณะ ที่การใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบรอดแบนด์ พบว่าผู้ใช้งานมีการใช้บริการแบบบรอดแบนด์ ADSL ประมาณ 74.2% เคเบิลโมเด็ม 5.9% การใช้ และไม่ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ผู้ที่ใช้ใช้มากกว่า 3 ปีมีประมาณ 34.2% ส่วนผู้ที่ไม่ใช้งานบรอดแบนด์ให้เหตุผลว่า ราคาแพงเกินไป 60.1% ไม่รู้รายละเอียดในการติดต่อขอบริการ 41.6% ไม่ครอบคลุมพื้นที่พักอาศัย 28.7%อย่างไรก็ตาม คาการณ์ว่า จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี 2552 จะอยู่ที่ 20% หรือคิดเป็น 16 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 18% หรือคิดเป็น 11 ล้านคน จากจำนวนประชากร 65 ล้านคน
นางชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รอง ผอ.เนคเทค กล่าวถึงประเด็นน่าสนใจจากการสำรวจว่า มี 5 เรื่อง ได้แก่ 1. การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้ หรือ อี-เลิร์นนิ่ง มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
2. ปัญหาของการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่พบมากที่สุดในปีนี้ คือ ความเร็วของการให้บริการไม่ตรงตามที่ระบุไว้
3. การป้องกัน และแก้ไขปัญหาหลอกลวงบนอินเทอร์เน็ต และอาชญากรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
4. ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนมากติดตามข่าวออนไลน์ควบคู่กับสื่อกระแสหลัก เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน และ
5. รูปแบบของการติดตามข่าวออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การอ่านข่าวผ่านเว็บบอร์ด และการอ่านข่าวผ่านเว็บไซต์ที่ให้บริการหนังสือพิมพ์ออนไลน์
ทั้งนี้ ในอนาคตแนวโน้มเรื่องข่าวออนไลน์จะมีบทบาทละความสำคัญมากขึ้น และกระทบกับสื่อหนังสือพิมพ์ เพราะมีความหลากหลายให้ผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้ง ผู้บริโภคยังเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น การติดตามข่าวออนไลน์ เคย 88.5% ไม่เคย 11.5% รูปแบบการติดตาม เว็บบอร์ด 93.9% หนังสือพิมพ์ออนไลน์ 87.1% บล็อค 68.7% สำหรับความถี่ในการติดตามข่าวออนไลน์ (ต่อสัปดาห์) 2 ครั้ง 30.9% 1 ครั้ง 28.1% มากกว่า 5 ครั้ง 17.4% 3 ครั้ง 17.2%
สำหรับประเภทของข่าวออนไลน์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนิยมติดตาม ได้แก่ ข่าวการเมือง 35.7% ข่าวสังคมและเหตุการณ์ทั่วไป 20% ข่าวบันเทิง 17.1% ข่าวเทคโนโลยี 10% โดยปัจจัยที่ทำให้ติดตามข่าวออนไลน์ ความสะดวก 56.5% ความมีอิสระ 18.3% การมีส่วนร่วม 13.2% ส่วนมากอ่านข่าวออนไลน์ควบคู่กับหนังสือพิมพ์รายวัน 44.8% ผลดี มีความหลากหลาย 42.6% แสดงความคิดเห็นได้อิสระ 26.7% มีส่วนร่วมในการนำเสนอข่าว 21.4% ผลเสีย ขาดการกลั่นกรองข่าวสำหรับเยาวชน 41.7% ไม่มีระบบคัดกรองบทวิจารณ์ 32.2% ไม่มีความเป็นกลาง 14%

Yotaro "หุ่นยนต์ทารก" ไว้หัดเลี้ยง


สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้กับโยทาโร่ไม่ได้มีอะไรใหม่ เพระหากติดตามเว็บไซต์ arip กันเป็นประจำก็น่าจะผ่านตากันไปบ้างแล้ว โดยอินเตอร์เฟซของโยทาโร่จะเป็นหน้าจอสัมผัสที่ออกแบบให้โค้งมนเหมือนใบหน้าเด็กทารกสามารถโต้ตอบการสัมผัสจากผู้ฝึกหัดได้ นอกจากนี้บริเวณร่างกายของทารกก็จะมีเซ็นเซอร์ และมอเตอร์ เพื่อแสดงอาการดิ้น รวมถึงท้องร้องได้อีกด้วย ช่างคิดจริงๆ เลยนะครับเนี่ย

โยทาโร่เป็นผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tsukuba ในญี่ปุ่น โดยมันสามารถแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ การลูบใบหน้า เช็ดน้ำตา หรือหยอกล้อด้วยของเล่นจะส่งผลให้โยทาโร่ตอบสนองอารมณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างเหมาะสมด้วยระบบควบคุมอารมณ์บนคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะควบคุมการฉายภาพจากโปรเจ็กเตอร์ทีอยู่ด้านล่าง ส่วนการรับรู้การสัมผัสจะใช้กล้องอินฟราเรดจับภาพจากด้านล่างอีกทีหนึ่ง ที่ดูแล้วชอบมากๆ คือ โยทาโร่ร้องไห้ (มีถุงน้ำตาอยู่ด้านหลัง) และหัวเราะได้แบบทารกจริงๆ แม้หน้าตาจะดูเป็นการ์ตูนไปสักนิดก็ตาม

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

Misa กีตาร์ดิจิตอล"ไร้สาย"

Misa Digital Guitar เป็นอุปกรณ์ควบคุมมิดี้ที่ออกแบบให้เหมือนกีตาร์ไฟฟ้า 24 เฟรท และจอสัมผัสขนาดใหญ่ บริเวณที่ใช้ดีดสายกีตาร์ แต่เนื่องจาก Misa ไม่ได้ใช้หลักการดีไซน์กีตาร์แบบเดิมๆ เนื่องจากมันไม่มีสายให้ดีดเลยสักเส้น แต่ใช้การสัมผัสหน้าจอมัลติทัชด้วยนิ้วแทน ส่วนที่เป็นสายบนคอกีตาร์ก็จะใช้เป็นเซ็นเซอร์ที่ทำงานแบบสวิตช์เปิด-ปิด เพื่อให้ระบบสามารถสแกนค่าการกดคอร์ดที่จับด้วยนิ้วต่างๆ ได้นั่นเอง ส่วนการเล่นจะลักษณะคล้ายการใช้นิ้วทั้ง 5 ตบสาย (สัมผัสบนหน้าจอขนาดใหญ่) ตามโน้ตทีต้องการเล่น ซึ่งลักษณะจะคล้่ายกับการเล่นกีตาร์ไฟฟ้าจริงๆ


Misa Digital Guitar ทำงานด้วยเคอเนล (Kernel) ของ Linux 2.6.31 (Gentoo) ในการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากการจับคอร์ด และตบสาย เพื่อส่งโค้ดมิดี้เข้าไปยังคอมพิวเตอร์ให้เล่นเสียงโน้ตออกมาตามนั้น สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถสอบถาม เพื่อสั่่งซื้อกีตาร์ตัวนี้จากทางเว็บไซต์ misadigital

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410692

BonTaKung 5115078

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ผู้เดือดร้อน

1,222,245,200,000คือ
ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปี 2551

จากสถิติ ของ Worldwatch institute ระบุว่า

ระยะเวลาเฉลี่ยในการใช้โทรศัพย์มือถือ 1 เครื่อง

ในปัจจุบันมีอยู่ราว 14 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องใหม่

นับว่าน้อยกว่าอายุการใช้งานจริงที่ควรจะเป็น

ทั้งๆที่มือถือยุคใหม่ไม่ได้ทำอะไรออกมาสนองความต้องการมากนัก

และระยะเวลาในการใช้งานอาจจะน้อยเกินไปกว่านั้น

ในกลุ่มผู้ใช้มือถือที่เห็นเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมความมั่นใจ
เปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเทรนด์

และได้ของที่ฉลาดสุดๆอยู่ในมือ

แต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังความพอใจที่ได้อินเทรนด์นี้


ยอดขายหลายล้านๆเครื่องในแต่ละปี หมายถึง น้ำตา ฝันร้าย


และความตายของชาวคองโกนับล้านชีวิต

นี่ยังไม่นับรวมการฆาตกรรมหมู่ในป่าลึก,

ความตายของกอริลล่ายักษ์ที่อาจเหลือฝูงสุดท้ายในรวันดา

ตัวเชื่อมที่ทำให้มือถือโยงไปถึงสงครามร้ายแรงที่สุด


ในประวัติศาสตร์แอฟริกาคือ โคลัมไบต์-แทนทาไลต์


หรือแร่โคลแทนที่พบมากในแอฟริกากลาง,แน่นอน...ในคองโก

ด้วยคุณสมบัติทนความร้อนสูง ทำให้ผงแทนทาลัม

ที่สกัดได้จากโคลแทน กลายเป็นวัตถุดิบจำเป็นที่อยู่ในมือถือ

คอมพิวเตอร์,เพลย์สเตชั่นฯลฯ


โคลแทน กลายเป็น black gold ในขณะเดียวกัน

สงครามคองโกครั้งที่ 2 ทำให้แร่สีดำชนิดนี้


กลายเป็นแร่สีเลือด blood coltan
เพราะการลักลอบทำเหมืองและส่งออกโคลแทน

กลายเป็นแหล่งหารายได้ที่เติมเชื้อไฟให้กับAfrican World War



ในจำนวนประเทศทั้ง8 ที่ติดหล่มสงคราม

และกองกำลังติดอาวุธกว่า20กลุ่ม

หลายกลุ่มหาผลประโยชน์จากพื้นที่คองโก

ที่ประเมินว่ามีแร่โคลแทนมากถึง 80% ของปริมาณโคลแทนในโลก


การดิจิไทซ์โลก ถนนทุกสายจึงมุ่งไปที่พื้นดินของคองโก

กองกำลังประชาธิปไตย กลุ่มปลดปล่อยรวันดาหรือ FDLR

ที่มีชาวฮูตูเป็นแกนนำ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัด

ของการทำเหมืองแร่ในคองโกอย่างผิดกฏหมาย
แม้จะต้องเสี่ยงจากการถูกปราบปรามจากรัฐบาลคองโก
แต่FDLR และอีกหลายกลุ่ม

ก็เห็นว่ามันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่าอยู่ดี


เพราะแทนทาลัมเพียง 1 ปอนด์ทำเงินร่วม หมื่นบาท

แทนทาลัม 1 ปอนด์ เป็นได้ทั้งตัวเก็บประจุในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่

และแปลงเป็น AK-47 พร้อมกระสุนให้กับกองกำลังติดอาวุธ

หน่ำซ้ำในกระบวนการร่อนแร่หาโคลแทน

แรงงานที่ถูกบังคับให้ทำเยี่ยงทาส ก็คือเด็กๆคองโกลีส

ซึ่งองค์การสหประชาชาติรายงานว่า ในบางพื้นที่ของคองโก
ในเด็ก 100 คนจะมี 30 คน ที่ต้องใช้เวลาทั้งวัน

ไปกับการแยกโคลแทนออกจากเศษหินอื่นๆ


เงินค่าจ้างไม่ถึง 35 บาท ต่อการหาโคลแทนให้ได้ 1 ปอนด์


เรื่องมือถือเปื้อนเลือดถูกพูดถึงเมื่อหลายปีก่อน

บริษัทระดับโลกอย่าง Nokia,Ericsson,Moto,Acer ,Compaq

ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่า โคลแทนที่ใช้ในการผลิตของตน

ไม่ได้มาจากคองโก แต่มีซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้หามาให้



ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บอกได้ว่า

แทนทาลัมในมือถือที่พกติดตัวจนกลายเป็นอวัยวะที่33

นั้นมาจากคองโกหรือเปล่า

การตรวจสอบเส้นทางของแทนทาลัมนั้น

ต่อให้ใช้วิธีตามไปดูถึงที่แบบกบนอกกะลา

ก็ยังไม่สามารถบอกที่มาได้
โคลแทนได้ถูกลักลอบเอาออกนอกคองโก
เข้าสู่ตลาดมืด และขายทอดต่อไปเรื่อยอีกอย่างน้อย 10 ทอด

กว่าจะไปถึงผู้จัดหารายใหญ่ ที่บริษัทบิ๊กๆเลือกเป็นคู่ค้า

ความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้วัตถุดิบ

มารองรับความต้องการการซื้อมือถือในตลาดโลก

นอกจากจะมีส่วนสร้างประวัติศาสตร์เลือดให้กับอัฟริกาแล้ว

ยังส่งผลร้ายต่อสัตว์ป่าด้วย สัตว์ป่าน้อยใหญ่ กอริล่า และช้างป่านับพัน ถูกฆ่าจากการโดนบุกรุกของมนุษย์เพื่อหาโคลแทน

เพราะในพื้นที่ๆขุดหาโคลแทน มันคือบ้านของ กอริลล่าภูเขา

ที่เหลืออยู่บนโลกนี้ไม่กี่ร้อยตัว



สัตว์ร่วมวงศ์กับมนุษย์ ที่แสนจะขี้อาย สุภาพ

ไม่เพียงถูกเหมืองคุกคามถิ่นที่อยู่


พวกทำเหมืองยังล่าพวกมันเอาหัว บางทีก็ชำแหละนำเนื้อมากินด้วย

สัตว์ในแอฟริกาหลายแห่ง รณรงค์การรีไซเคิลมือถือ

เพื่อลดอัตราการใช้โคลแทนในการผลิตมือถือใหม่

ด้วยหลังจะชะลอการสูญพันธุ์ของกอริลล่าภูเขาในคองโกได้บ้าง



แต่ดูเหมือนไม่ทันต่ออัตราการเติบโต

ของอุปกรณ์ที่เป็น “มากกว่าใช้พูด” แต่ส่วนใหญ่”ก็ใช้แค่พูด”เท่านั้น



ในทวีปแอฟริกาเอง พิษภัยจากมือถือคุกคามชีวิตและทรัพยากรตัวเอง

แต่อัตราการใช้มือถือก็เพิ่มขึ้น 1000%



เช่นเดียวกับจำนวนคนบริสุทธิ์ที่ล้มตายลง

ในสงครามกลางเมืองคองโก ประมาณการณ์กันว่า

นับแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปียุติสงครามอย่างเป็นทางการ
ยังมีผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงรูปแบบต่างๆถึงเดือนละ 45,000คน
หรือปีละ 540,000
คน ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึง
ผู้หญิงหลายหมื่นที่ถูกทารุณทางเพศ

ของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เพียงแต่พวกเธอยังไม่ตาย


1,222,245,200,000 กับ 540,000 อาจมีหน่วยนับต่างกัน

แต่อัตราการขยายตัวกลับแปรตามกันอย่างน่ากลัว

ถ้าความอินเทรนด์ของคุณ นำมาซึ่งตัวเลขที่มีหน่วยศพเพิ่มมากขึ้น

คุณยังอยากเปลี่ยนมือถือทัชสกรีนมาใช้เล่นอีกสักเครื่องไหม ...!?!


อยากเห็นภาพ เข้าไปดูได้ที่ http://webboard.yenta4.com/topic/368554 <<<< ที่มา

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

8 เคล็ดลับจับมือถือโนเกียปลอม

โนเกียเตือนผู้บริโภค ระวังโทรศัพท์มือถือปลอมที่วางจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมาก แนะวิธีการจับผิดของปลอมซึ่งมีการปลอมแปลงหลากหลายรูปแบบ พร้อมรณรงค์ให้ใช้สินค้าของจริงเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยและคำนึงถึงคุณภาพ สินค้าเป็นหลัก

ชูมิท คาพูร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) กล่าวว่า โนเกียมีความห่วงใยผู้บริโภคซึ่งอาจสับสนกับโทรศัพท์มือถือปลอมแปลงจำนวนมาก ที่วางจำหน่าย จึงขอแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อโทรศัพท์มือถืออย่างระมัดระวัง และคำนึงถึงคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ เพื่อให้เทศกาลปีใหม่นี้เป็นเทศกาลส่งมอบความสุขอย่างแท้จริง

สถานการณ์มือถือปลอมยังคงระบาดในเมืองไทยอย่างหนักหน่วง และมีลักษณะการปลอมแปลงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งการใช้ตราสินค้าโนเกียในโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ ทั้งรุ่นที่มีและไม่มีอยู่จริงในตลาด รวมทั้งการใช้ตราสินค้าอื่นๆ ใกล้เคียงชื่อโนเกีย โดยเจตนาสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีช่องทางและวิธีการจำหน่ายที่สลับซับซ้อนมากขึ้น อาทิเช่น การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ จำหน่ายในตู้ขายสินค้าขนาดเล็ก และจำหน่ายในร้านขายโทรศัพท์มือถือทั่วไป โดยอ้างว่าเป็นสินค้าราคาขายส่ง จึงมีราคาถูก วางจำหน่ายในร้านค้าที่ปะปนสินค้าทั้งของจริงและของปลอม ซึ่งผู้บริโภคต้องพิจารณาอย่างละเอียด โดยสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าของโนเกียหรือเช็ครุ่นของมือถือที่จัด จำหน่ายได้ที่โนเกียช้อปทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดต่อโนเกียแคร์ไลน์ 02 255 2111 หรือ http://www.nokia.co.th

สำหรับเคล็ดลับจับผิดมือถือปลอมนั้นต้องสงสัยไว้ก่อน หากพบความผิดปกติดังนี้ และอย่าหลงเป็นเหยื่อคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ

1.อ้างว่าเป็นสินค้าราคาขายส่ง จึงมีราคาถูก

2.อ้างว่าเป็นรุ่นที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงวางขายได้ก่อนใครในโลก

3.แอบอ้างว่าสามารถใช้บริการศูนย์โนเกียได้ แม้จะเป็นของปลอม

4.ไม่มีโลโก้โนเกีย

5.เป็นรุ่นที่โนเกียไม่เคยประกาศ

6.ไม่มีสติ๊กเกอร์โฮโลแกรมบนแบตเตอรี่

7.ไม่มีใบรับประกันสินค้า

8.ราคาแตกต่างจากที่ร้านโนเกียช้อปมาก

ส่วนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้มือถือปลอม คือ

1.แบตเตอรี่ระเบิด

2.กระแสไฟฟ้ารั่ว

3.ค่า SAR สัญญาณวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ ที่อาจมีระดับสูงเกินความปลอดภัย และเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์

ที่มา
http://www.manager.co.th/Telecom/ViewNews.aspx?NewsID=9520000159288

10 อันดับคนอัจฉริยะ

10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน
ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"

9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตามใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool

8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี

7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง
Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก


6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดKripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่

5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy
Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป

4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย

3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน

2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก
Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง ได้ซะทีนั่นเอง

1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน




อยากเป็นบ้างง่า
จอยจ้า

ลือ!!! iPhone 4G จะวางตลาดเม.ย.นี้

ในขณะที่หลายคนกำลังรอยลโฉม iSlate อย่างใจจดใจจ่อ และลุ้นว่ามันจะปรากฎตัวให้เห็นในวันที่ 26 มกราคมนี้ หรือไม่? แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า แอปเปิล (Apple) มีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่จะออกในปีนี้เหมือนกันนั่นก็คือ ไอโฟน รุ่นที่ 4 (iPhone 4G) ซึ่งล่าสุดมีข่าวหลุดออกมาทั้งในเรื่องของสเป็ก และกำหนดการวางตลาดแล้วด้วย

รายงานข่างวดังกล่าวปรากฎใน Korea Times หนังสือพิมพ์ในเกาหลีใต้ทีอ้างว่า แหล่งข่าวได้ข้อมูลมาจากผู้ให้บริการเครือข่าย KT Telecom ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาในข้อตกลงกับทืางแอปเปิล โดย iPhone 4G จะวางตลาดในช่วงต้นเดือนเมษายน 2010 พร้อมด้วยส่วนแสดงผล OLED และฟังก์ชันวิดีโอแชต ซึ่งแน่นอนว่า มันจะทำงานเร็วกว่าไอโฟนรุ่นปัจจุบันขึ้นไปอีก รวมไปถึงระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ทีจะนานขึ้นด้วย

แหล่งข่าววงในอ้างว่า iPhone 4G จะมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ และชิปกราฟิกที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนว่า มันเป็นโพรเซสเซอร์ของใครกันแน่ แต่ผู้เชี่ยวชาญในวงการมั่นใจว่าเป็น ARM Cortex A9 CPU รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพของ iPhone 4G เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันความสามารถในการจัดการพลังงานของแบตเตอรีในไอโฟนรุ่นใหม่จะทำให้ผู้ใช้แฮปปี้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การทีมีฟังก์ชัน video chat นั่นหมายความว่า iPhone 4G จะมาพร้อมกับกล้องวิดีโอด้านหน้าด้วย และแน่นอนกล้องดิจิตอลตัวหลักก็น่าจะได้รับการพัฒนาให้มีความละเอียดมากขึ้นด้วย

มดเอง

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

การดูแลรักษาดวงตาจากการใช้คอมพิวเตอร์

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศรีษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษร ได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน

กูเกิลหนุนเก็บไฟล์ออนไลน์ ก่อนประกาศอาจหยุดทำธุรกิจในจีน

กูเกิลประกาศในบล็อกของบริษัท ว่าผู้ใช้บริการ Google Docs จะสามารถเก็บข้อมูลสำคัญบนโลกออนไลน์ได้เพิ่มขึ้นภายในเดือนมกราคมนี้ ก่อนจะมีข่าวว่ากูเกิลฉุนขาดกรณีถูกเจาะระบบจีเมล (Gmail) ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้อยู่เบื้องหลังทำไปเพื่อปราบปรามกลุ่มนักเคลื่อน ไหวอิสระในประเทศจีน ทำให้กูเกิลประกาศว่าอาจหยุดให้บริการภายใต้โดเมน Google.cn ในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

คำประกาศของกูเกิลเกี่ยวกับบริการซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสารออนไลน์ "กูเกิลด็อคส์ (Google Docs)" ของกูเกิลนั้นปรากฏในบล็อกของบริษัทเมื่อวันอังคารที่ 12 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ใช้กูเกิลด็อคส์นั้นได้รับความสะดวกสบายจากการอัปโหลดเอกสารเพื่อแบ่งปัน ให้ผู้ใช้ลงมือแก้ไขไฟล์ร่วมกันได้โดยไม่ต้องส่งอีเมล

สิ่ง ที่จะเกิดขึ้นคือ กูเกิลเต็มใจให้ความจุฟรี 1GB เพื่อให้ผู้ใช้อัปโหลดไฟล์เอกสารขึ้นสู่บริการกูเกิลด็อคส์ได้มากขึ้น โดยที่แต่ละไฟล์มีขนาดสูงสุดไม่เกิน 250MB จุดนี้กูเกิลย้ำว่า ไฟล์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่เอกสารก็สามารถอัปโหลดในพื้นที่ฟรี 1GB ได้เช่นกัน โดยผู้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่ม ก็สามารถซื้อพื้นที่โดยจ่ายค่าบริการ 25 เซนต์ต่อ 1GB ต่อปี

นอกจากกูเกิลด็อคส์ บนโลกอินเทอร์เน็ตยังมีบริการเก็บไฟล์ทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น DropBox บริการกล่องเก็บไฟล์ในเครือกูเกิลที่ผู้ใช้สามารถอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่กว่า 250MB และมีความปลอดภัยสูง โดยกูเกิลจะให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 2GB หากต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มอีก 50GB จะต้องเสียค่าบริการ 9.99 ต่อเดือน หรือ 100GB ในราคา 19.99 เหรียญต่อเดือน

อีกบริการคือ Box.Net ให้พื้นที่เก็บไฟล์ฟรี 1GB เช่นกัน แต่จำกัดขนาดไฟล์ที่อัปโหลดไว้ที่ 25MB ซึ่งหากต้องการเพิ่มที่เพิ่มขึ้น ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินเพียง 10 เหรียญต่อเดือนเพื่อแลกกับพื้นที่เก็บข้อมูล 5GB และเพิ่มขีดจำกัดขนาดไฟล์เป็น 1GB หรือจะจ่ายเงินค่าบริการ 15 เหรียญต่อเดือนสำหรับพื้นที่เก็บข้อมูล 10GB แต่จำกัดขนาดข้อมูลไว้ที่ 1GB เท่ากัน

ยังมีบริการ Microsoft Live Mesh ซึ่งมีจุดเด่นที่การเปิดให้ผู้ใช้เชื่อมโยงไฟล์ข้ามอุปกรณ์ทั้งระบบปฏิบัติ การแมคอินทอชและวินโดวส์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพาอื่นๆ พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 5GB และ Windows Live SkyDrive พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 25GB ซึ่งจากการทดสอบโปรแกรม Office 2010 เวอร์ชันทดลอง ผู้ใช้จะสามารถบันทึกไฟล์ออฟฟิศลงใน SkyDrive ได้โดยตรง

ความ เคลื่อนไหวล่าสุดของกูเกิล คือ David Drummond ประธานฝ่ายกฏหมายของกูเกิลเขียนแถลงการอย่างเป็นทางการว่า กูเกิลอาจจะหยุดดำเนินธุรกิจในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ และอาจจะปิดบริการค้นหาข้อมูล Google.cn ซึ่งกูเกิลเริ่มให้บริการตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วด้วย โดยในแถลงการณ์ระบุว่า กูเกิลยังคงเตรียมพร้อมเปิดการเจรจากับรัฐบาลจีนในอนาคต

แถลงการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกูเกิลพบการเจาะระบบจีเมล และอนุมานว่าเป็นความพยายามในการปราบปรามกลุ่มนักเคลื่อนไหวอิสระในประเทศ ของทางการจีน เพื่อต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนของรัฐบาลจีน กูเกิลจึงต้องการเจรจากับทางการจีนเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งหากตกลงไม่ได้ กูเกิลออกตัวว่ายินดีจะยุติการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในประเทศจีนเอง

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

30 ทิปเล็กน้อย ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ

5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้

8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้

10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้

14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu

16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน

21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break

23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter

25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้

28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้

29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

ทีมา:http://www.phiman.ac.th/~forum/index.php?PHPSESSID=73219445fe6be539ef9c8c82286676f4&topic=243.0

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ดิ้นสู้ภัยไซเบอร์ มะกันพร้อมเจรจารัสเซีย

รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจร่วมการเจรจากับรัสเซียบนเวทีสหประชาชาติหรือ United Nations แล้ว เพื่อหาวิธีป้องกันและปราบปรามสงครามไซเบอร์และอาชญากรรมบนโลกอินเทอร์เน็ต ถือเป็นนิมิตหมายใหม่หลังจากที่สหรัฐฯไม่เคยร่วมเจรจากับยูเอ็นและประเทศสมาชิกอื่นๆเลย ท่ามกลางข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนใจของสหรัฐฯเกิดขึ้นเพราะเจ้าพ่อชาติอินทรีต้องหาทางดิ้นเพื่อสู้กับวิกฤตเว็บไซต์อเมริกันตกเป็นเป้าโจมตีถี่เหลือเกิน
สิ่งที่ทำให้ข้อสังเกตนี้เกิดขึ้นคือ รายงานจากนิวยอร์กไทมส์ที่ระบุว่าตัวแทนสหรัฐฯ จะเข้าร่วมเจรจากับตัวแทนจากรัสเซียและคณะกรรมาธิการควบคุมอาวุธแห่งสหประชาชาติ หรือ Arms Control Committee โดยประเด็นที่สหรัฐฯ ต้องการหารือคือการลดปริมาณอาชญากรรมไซเบอร์และจำกัดการใช้อำนาจทางการทหารบนโลกอินเทอร์เน็ต ต่างจากรัสเซียและประเทศอื่นๆต้องการหารือในประเด็นการป้องกันการประสานงานเพื่อก่อการร้ายผ่านโลกออนไลน์
นักวิเคราะห์จึงมองกันว่า ความต้องการลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ของสหรัฐฯ นั้นมีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยของสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจต่างๆ และสำนักงานรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมา องค์กรเหล่านี้ของสหรัฐฯตกเป็นเป้าหมาย และถูกคุกคามจากนักเจาะระบบต่างชาติอย่างหนัก เฉพาะวันที่ 4 กรกฎาคม เว็บไซต์องค์กรของสหรัฐฯ มากกว่า 20 แห่งถูกจู่โจมเพียงเพราะต้องการกลั่นแกล้งในโอกาสวันชาติสหรัฐฯ มีทั้งการถล่มเว็บไซต์ให้ไม่สามารถใช้การได้ชั่วขณะ และการเจาะระบบข้อมูลเพื่อขโมยความลับขององค์กร
แม้จะไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจน แต่ทุกคนในโลกไซเบอร์นั้นรู้กันว่ารัสเซียเป็นแหล่งกบดานสำคัญของโจรไฮเทคระดับพระกาฬที่มองสหรัฐฯเป็นเป้าหมายใหญ่ในการโจมตี การตกลงร่วมเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ จึงถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ แม้ว่าประเด็นความต้องการของแต่ละประเทศจะไม่ตรงกันก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยมองว่า รัสเซียนั้นหวังให้การเจรจาครั้งนี้นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพให้รัฐบาลรัฐเซียสามารถปราบปรามการประสานงานเพื่อก่อการร้ายในประเทศรัสเซียได้ สวนทางกับสหรัฐฯ ที่ต้องการให้นานาชาติ ร่วมมือกับทางการสหรัฐฯเพื่อการสอบสวนและขัดขวางการก่ออาชญากรรมบนโลกไซเบอร์
การโจรกรรมข้อมูลของโจรไฮเทคนับวันยิ่งเพิ่มจำนวนและเป็นสาเหตุนำไปสู่การสูญเสียมากมาย การสำรวจในปี 2008 ศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมอินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ หรือ Internet Crime Complaint Center (IC3) ได้รับเรื่องร้องเรียนราว 275,234 กรณี เพิ่มขึ้น 33.1% จากปี 2007 โดยค่าเสียหายจากการถูกโจมตีและขโมยข้อมูลนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 264.6 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 239.1 ล้านเหรียญในปี 2007
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรายงานวันที่และเวลาในการร่วมเจรจาของสหรัฐฯ บนเวทีสหประชาชาติในขณะนี้

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000153562

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ของเล่น แปลกๆ

แว่นตาประชานิยม



คุณคิดยังไงกับรัฐประหาร และก็คมช.ครับ?
อะไรนะ? ...คุณให้สัมภาษณ์ไม่ได้เหรอครับ?
อ๋อ...เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยใช่ไหม?
งั้นใช้นี่สิ...



แว่นตาแถบเซนเซอร์ แค่นี้คุณก็ให้สัมภาษณ์ได้โดยสะดวกใจแล้ว
เหมาะสำหรับผู้ที่มักชอบออกความคิดเห็นแบบเสี่ยงคุก เสี่ยงตาราง
หรือคนที่เวลาทำความผิดเจือกไม่อาย แต่พอโดนจับได้แล้วหน้าบาง
ต้องหาอะไรมาปิดหน้าปิดตา เพราะกลัวประชาชีเค้ารู้ว่าตัวเองเป็นใคร



วู้ววว เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหมิ่นศาล และปากดีในที่สาธารณะเป็นที่ซู๊ดดดด
สนใจไปดูที่ http://www.drinkstuff.com/products/product.asp?ID=3789
ในอนาคตอาจมีรุ่นดวงตาพญามาร หรือรุ่น Mosiac สำหรับผู้ใหญ่ไม่อ่านเว็บด้วย!!
...แต่คงช่วยได้แค่ปกปิดหน้าตาเท่านั้น ไม่ได้มีไว้ป้องกันการประชาทัณฑ์นะเออ

...

แค่ขยับ(นิ้ว) ก็เท่ากับออกกำลังกาย



นั่งทำงานใน Office ทั้งวัน เบื่อจะตายหองแล้น...
อยากหาอะไรที่มัน Exercise คลายเส้นซักหน่อย
ใช้ไอ้นี่สิ USB Finger Dance Mat โยกนิ้วสยิวทรวง
เต้นได้ไม่อายใคร ที่สำคัญเล็กจนเจ้านายไม่ทันสังเกต



แถมสกินสาวหัวฟูครอบนิ้ว ได้อารมณ์อีหนูเท้าไฟระทึกจิต
เพียงแต่เข้ากับ Port USB ของ PC หรือ Laptop เท่านั้นเอง
ท่านก็ได้โยกนิ้วมันส์ ๆ ไปตามจังหวะไฟกระพริบแล้วทุกท่าน
สนใจเชิญที่ http://www.drinkstuff.com/products/product.asp?ID=3151

] - -->
...

ตายซะเถอะ ไอ้โต๊ะข้าง ๆ !!!



เกลียดมันจัง ไอ้โต๊ะข้าง ๆ นั่นหน่ะ ทำงานไม่เป็นสุขเลยให้ตายสิ
วัน ๆ เอาแต่จับผิด ชอบเอาไปฟ้องเจ้านาย ชิ...แบบนี้ต้องสั่งสอน!!
USB Missile Launcher ...ใช้นี่ดีดจรวดมิซซายล์ใส่หัวมันโลด
วิถียิงไม่แน่ชัด ที่แน่ ๆ เหมาะสำหรับคนอายุ 10 ปีขึ้นไปชัวร์ป๊าป...



แถมโปรแกรมควบคุมวิถีมิซไซล์ พร้อมเจอเรดาร์ ช่างสมจริงยิ่งนัก
ใช้ได้กับ Windows XP เพียงเสียบเข้ากับพอร์ต USB เครื่องคอมพ์
เล็งดี ๆ หล่ะ ไม่งั้นเผลอทิ่มตาบอด เดี๋ยวจะได้ไปนอนมุ้งสายบัวเอา
http://www.drinkstuff.com/products/product.asp?ID=2640&title=USB+Missile+Launcher

...

เทคโนโลยีล่องหน สำหรับคนชอบอู้



งานการที่ทำก็ยังไม่เสร็จ มัวแต่เล่นอินเตอร์เนต ขอให้ยกมือขึ้น !!
นี่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงทางทหาร เป็นเทคโลยีพรางตัวขั้นสุดยอด
แต่เราจะเอาใช้พรางตัวจากเจ้านายผู้ว่างจัด ที่ชอบเดินตรวจตรา
คอยจับผิดลูกน้อง เพียงแค่ติดตั้งเจ้านี่เข้ากับคอมพิวเตอร์ของคุณ




แล้วเอามันไปวางไว้ใต้โต๊ะ ระหว่างที่คุณกำลังเล่นเกมส์เพลินอยู่ ๆ
อ๊ะ! หัวเหม่ง ๆ นั่นมันเจ้านายนี่ !!! ขอให้คุณกระดิกนิ้วเท้ากริ๊กเดียว
จากหน้าเกมส์ที่เล่นอยู่ โปรแกรมจะดีดกลับมายังงานที่ทำอยู่ทันที!
ยกเว้นเจ้านายจะหัวเสธ แอบใช้โปรแกรมแอบดูหน้าจอคุณอยู่ลับ ๆ

เฮ้ย!! แบบนั้นมันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลชัด ๆ เลยนะครับเฟร้ย!!
อะไรนะ...จะตัดเงินเดือน อ่า...ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้วคับ
สนใจเชิญไปทัศนาที่
http://www.drinkstuff.com/products/product.asp?ID=3349&title=USB+Stealth+Switch

...

ตู้เย็นมินิ USB (USBミニ冷蔵庫)



อุว้า...ไปซื้อโค้กที่เซเว่นมา กลับมาไหงอุ่นจุ้ยลุ้ยงี้หล่ะเนี่ย
ต้องนี่เลย ตู้เย็นมินิ USB เพียงต่อเข้ากับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์
แช่โค้กไว้ซัก 5 นาที ก็เย็นพอดิบพอดี ดื่มแล้วคงไม่ฝาดปากเป็นโค้กต้ม
แต่ไอ้ครั้นจะให้เย็นเจี๊ยบสะใจ ก็คงต้องหาตู้เย็นพี่บิ๊กใช้แทนเสียแล้วหล่ะ!

จัดไป http://japanese.engadget.com/2007/05/22/usb/

...

ปัจฉิมลิขิต



อุแหม...อยากได้ไอ้แว่นนี่ซักอันจัง
ใส่แล้วแสดงจุดยืน ว่าตูข้านี่แหละคอยอดข้าวตัวจริง
มีคนแอบแซวผมว่า "ลีลาสำนวนแนะนำสินค้าใช้ได้"

เครดิต : http://phuphu.exteen.com/20070620/entry


ใครอยากให้รูป เข้าไปที่ http://webboard.yenta4.com/topic/369039 นะจ๊ะ พอดีเอารูปลงไม่ได้อะ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

กูเกิ้ลเผย"มือถือ"ใหม่ "เน็กซัสวัน"-ท้าชน"ไอโฟน"

กูเกิ้ลเผย"มือถือ"ใหม่ "เน็กซัสวัน"-ท้าชน"ไอโฟน"



เมื่อ 6 ม.ค. บีบีซีและเดลี่เมล์รายงานว่า บริษัทกูเกิ้ล สหรัฐอเมริกา เปิดตัวโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นแรก "เน็กซัสวัน" (Nexus One) อย่างเป็นทางการ หวังช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดมือถือกลุ่มสมาร์ทโฟนจากเครื่องไอโฟนของค่าย แอปเปิ้ล

นายมาริโอ เคียรอซ รองประธานฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์กูเกิ้ล กล่าวว่า เน็กซัสวันเกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างกูเกิ้ลกับบริษัทเอชทีซี ผู้ผลิตมือถือสัญชาติไต้หวัน ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ (โอเอส) แอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ 2.1 จัดเป็นนวัตกรรมช่วยให้มือถือกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อกันอย่าง สะดวกรวดเร็ว

ตัวเครื่องเน็กซัสวัน หนา 11 มิลลิเมตร หนัก 130 กรัม ติดตั้งจอภาพแบบ OLED 3.7 นิ้ว กล้องถ่ายภาพดิจิตอลความละเอียด 5 เมกะพิกเซลพร้อมแฟลช และหน่วยประมวลผลสแน็ปดราก้อน 1 GHz เร็วกว่าหน่วยประมวลผลของไอโฟน รุ่น 3GS ซึ่งทำความเร็วอยู่ที่ 600 MHz

ฟังก์ชัน การทำงานเด่นๆ อาทิ ปุ่มแทร็กบอลสำหรับสั่งการที่สามารถเปล่งแสงเป็นสี 3 สี เพื่อแจ้งเตือนสถานะเวลามีอีเมล์ ข้อความเอสเอ็มเอส หรือสายเรียกเข้า, ไมโครโฟนรับเสียง 2 ตัว, จอภาพแสดงผลแบบ 3 มิติ, โปรแกรมแผนที่กูเกิ้ลแม็ป และโปรแกรมที่ช่วยให้ผู้ใช้พูดประโยคต่างๆ ใส่ไมโครโฟน จากนั้นระบบจะพิมพ์เป็นตัวอักษรขึ้นมาเพื่อใช้ส่งเอสเอ็มเอส เป็นต้น ส่วนราคาขายเครื่องเปล่า ตั้งไว้ 529 ดอลลาร์ หรือ 18,515 บาท

ผู้บริหารกูเกิ้ลมั่นใจว่า มือถือน้องใหม่รุ่นนี้จะทำให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตใช้บริการเว็บไซต์สืบค้น ข้อมูล "กูเกิ้ล ดอตคอม" ต่อไปแม้ไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ปัจจุบันโอเอสแอนดรอยด์ยังกินส่วนแบ่งการตลาดมือถือสมาร์ทโฟนแค่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ค่ายโนเกียครองแชมป์ 39 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยโอเอสแอปเปิ้ล 17 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ถ้ากูเกิ้ลต้องการเอาชนะยังต้องงัดกลยุทธ์มาสู้อีกมาก


Credit:

http://www.khaosod.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

CES 2010: โน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต"ไฮบริด"

เลอโนโว (Lenovo) ยังคงเดินหน้าเปิดเกมผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่การเปิดตัว "สมาร์ทบุ๊ก" ที่ชื่อว่า สกายไลท์ (Skylight) ในงาน CES 2001 เท่านั้น แต่ยังเกาะกระแสความสนใจแท็บเล็ตของแอปเปิล ด้วยการเผยโฉมโน้ตบุ๊กสายพันธุ์ใหม่ที่ไฮบริดกับแท็บเล็ตภายใต้ซีรียส์ IdeaPad U1 Hybrid

ก่อนหน้านี้ เลอโนโวก็เพิ่งอัพเดตโน้ตบุ๊ก ThinkPad เอาใจผู้ใช้ในกลุ่มนักธุรกิจกันไปแล้ว ล่าสุดสำหรับผู้ใช้ในกลุ่มคอนซูเมอร์ เลอโนโวก็เตรียมของขวัญพิเศษสุดฮอตอีกเช่นกัน นั่นคือ IdeaPad U1 Hybrid ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊กลูกผสมระหว่าง "แท็บเล็ต"มัลติทัช กับ"โน้ตบุ๊ก" ที่ดูแล้วราวกับแก็ดเจ็ตชิ้นต้อไปของเจมส์บอนด์ยังไงยังงั้น


IdeaPad U1 Hybrid มาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ 2 ตัว และสตอเรจ 2 ชุดแยกกันทำงานตามฟังก์ชันที่ใช้ว่าเป็นแท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ก เมื่อประกอบร่างเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องเดียวจะมีน้ำหนัก 1.72 กิโลกรัม อย่างไรก็ดี IdeaPad U1 Hybrid สามารถแยกการใช้งานเป็น "แท็บเล็ต"หน้าจอสัมผัสแบบ"มัลติทัช"ที่มีขนาด 11.6 นิ้ว และทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ Snapdragon ของ Qualcomm พร้อมหน่วยความจำ 512MB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Linux แต่ใช้อินเตอร์เฟซเดียวกันกับ Skylight (Smartbook ของเลอโนโว) โดยทางบริษัทอ้างว่า ลำพังการใช้งานเป็นแท็บเล็ตจะสามารถทำงานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง ในขณะที่การเชื่อมต่อการทำงานแบบ 3G จะใช้งานได้จนกระทั่งแบตฯ เหลือ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้แท็บเล็ตสามารถแสดงผลได้ทั้งสองแนวคือ แนวนอน (landscape) และแนวตั้ง (Portrait)


และเมื่อประกอบแท็บเล็ต เพื่อใช้งานเป็นโน้ตบุ๊ก IdeaPad U1 Hybrid ก็จะทำงานโพรเซสเซอร์ Intel ULV Core 2 Duo SU พร้อมหน่วยความจำ 4GB ชิปเซตกราฟิก Intel GMA เว็บแคม 1.3 ล้านพิกเซล พอร์ต USB 2.0 2 พอร์ต และ eSATA แถมยังจะมีพอร์ต HDMI และ VGA พร้อมช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำแบบ 4-in-1 ให้อีกด้วย ผู้ใช้สามารถเพิ่ม SSD ที่ให้กับเครื่องเป็น 128GB รวมกับ 16GB ที่อยู่ในแท็บเล็ต IdeaPad U1 Hybrid จึงเป็นแลปทอป 2-in-1 คือ โน้ตบุ๊กกับแท็บเล็ตทีสามารถรวม หรือแยกการใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 999 เหรียญฯ (ประมาณ 35,000 บาท) และคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้วันที 1 มิถุนายน ศกนี้

ที่มา http://www.arip.co.th/news.php?id=410597

BonTaKung 5115078

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

10 นวัตกรรมออกแบบ แปลกใหม่-ไฮเทค

1.คู่มือทำอาหารดิจิตอล (Teaser)
ผู้ออกแบบ : สก๊อต ชิม มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ และคาลวิน เฉิน มหาวิทยาลัยเพอร์ดู สหรัฐอเมริกา

ทีเซอร์ (Teaser) เป็นต้นแบบคู่มือปรุงอาหารยุคดิจิตอลที่นอกจากจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับสูตร อาหารต่างๆ เอาไว้ในหน่วยความจำแล้วก็ยังมีระบบ "ผลิตรสชาติ" ของเมนูที่ต้องการปรุงออกมาได้ด้วย!

ภายในตัวเครื่องติดตั้ง "ตลับเก็บรสชาติ" เอาไว้ 18 ตัวอย่าง

สามารถสั่งให้เครื่องนำมาผสมกัน พร้อมกับจัดพิมพ์ลงบนกระดาษตัวอย่างเพื่อให้ลองชิมดูว่าถูกใจหรือไม่ ถ้าถูกลิ้นก็ลงมือปรุงจริงๆ ได้เลย แต่ถ้าไม่โดนใจก็ประยุกต์สูตรได้ตามสะดวก

2.เครื่องสร้างอักษรเบรล (Haptic Reader)
ผู้ออกแบบ : เดวิด ลี และยูนา คิม มหาวิทยาลัยฮันดองโกลบอล และฮันซุก ลี มหาวิทยาลัยไคเมียง เกาหลีใต้

Haptic Reader ทำหน้าที่เป็นเครื่องสแกนตัวอักษรบนหน้าหนังสือ จากนั้นประมวลผลออกมาเป็นตัวอักษรเบรล ช่วยให้ผู้พิการทางสายตามีโอกาสเข้าถึงคลังความรู้ในโลกหนังสือมากขึ้น

วิธีการใช้งาน นำตัวเครื่องวางทับหน้าหนังสือที่ต้องการ เมื่อระบบสแกนเสร็จแล้ว พื้นผิวหน้าจอส่วนบน จะมีปุ่มนูนขึ้นมาแปรสภาพเป็นอักขระเบรล

นอกจากนั้น ยังมีระบบแปลงตัวอักษรที่สแกนเข้ามาเป็น "คำพูด" อีกด้วย

3.โน้ตบุ๊กเจาะกลุ่มผู้หญิง (Shell Laptop Concept)
ออกแบบ : จอช มารัสกา และแทน ทูลิส สหรัฐอเมริกา

ต้นแบบโน้ตบุ๊ก รุ่น "Shell Laptop" พัฒนาโดยทีมงานของบริษัทไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจโปรแกรมคอมพิวเตอร์เบอร์ 1 ของโลก

แนวคิดหลักต้องการทลายกรอบการออกแบบ โน้ตบุ๊กเดิมๆ

มุ่งจับลูกค้ากลุ่ม "ผู้หญิง" ยุคใหม่ อายุระหว่าง 23-28 ปี นำวัสดุที่ดูแล้วมีความนุ่มนวล น่าสัมผัส เช่น ไม้และเซรามิกมาผสานเข้ากับลวดลายเรืองแสง มองแล้วน่าดึงดูดใจให้ใช้งาน

4.คอนแท็กต์เลนส์กันแดด (Contact Shades)

ผู้ออกแบบ : จิน ยองอุน, จุน เกียวลี, ยัง โฮลี สังกัดกลุ่มโคเรีย ดีไซน์ เมมเบอร์ชิพ ประเทศเกาหลีใต้

"แว่นตากันแดด" มีมาตั้งหลายปี ล่าสุด กลุ่มนักออกแบบแดนโสมจึงคิดค้น "คอนแท็กต์เลนส์" ที่มีคุณสมบัติกันแดดและรังสีอัลตราไวโอเลตขึ้นมาบ้าง

คอนแท็กต์เลนส์กันแดดที่ว่านี้มี 4 รุ่นด้วยกัน เหมาะกับสภาพอากาศ 4 ลักษณะ และมุ่งจับลูกค้ากลุ่มที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง

5.แผนที่หลากมุมมอง (Panamap)

ผู้ออกแบบ : เอียน ไวต์ บริษัท เออร์บัน แม็ปปิ้ง อิงก์ สหรัฐอเมริกา

แผนที่มาตรฐานทั่วไปทุกวันนี้ถูกระบบบอกพิกัดผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) รวมถึงโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนชนิดมีแผนที่ในตัวแย่งหน้าที่ไปเยอะ จนใกล้กลายเป็นของตกยุค

แต่บ.เออร์บัน แม็ปปิ้ง ยังคงศรัทธาในแผนที่ เพียงแต่นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการสร้างแผนที่ไฮเทค รุ่น "Panamap" (พานาแม็ป)

เมื่อกางและขยับเปลี่ยนมุมมองแผนที่แต่ละครั้ง จะมองเห็นข้อมูลอื่นปรากฏขึ้นมาสลับกันไป อาทิ ถนนหนทาง เส้นทางเดินรถระบบขนส่งมวลชน และแนะนำย่านสำคัญๆ ในแต่ละเมือง

credit : www.yenta4.com
พัณณิตา (นุ้ย)

เทคนิคโหลดวิดีโอจากยูทูบง่ายเกินคาด!

ไม่ต้องลงโปรแกรม หรือติดตั้งปลั๊กอินใดๆ ในเบราว์เซอร์ให้ยุ่งยาก แค่เว็บไซต์เดียวซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ไม่ต้องจำ ไม่ต้องสอน ก็ "สอย" วิดีโอดีๆ นับล้านๆ คลิปที่อยู่ในยูทูบได้ฟรีๆ

วิธีการก็เพียงแค่ เมื่อเปิดเจอวิดีโอไหนที่ต้องการดาวน์โหลด ก็แค่พิมพ์คำว่า "kick" ลงไปหน้าลิงก์นั้น ๆ

เช่น ลิงก์ของวิดีโอผู้จัดการมีที่อยู่เว็บดังนี้http://www.youtube.com/watch?v=u7-44fgpss8

เราก็เพียงพิมพ์คำว่า kick ลงไปข้างหน้าคำว่า Youtube ดังนี้ http://kickyoutube.com/watch?v=u7-44fgpss8

ก็จะมีแถบเครื่องมือของ KickYouTube ปรากฏอยู่ด้านบนของหน้าเว็บเพจปกติของยูทูบ

ขั้นตอนดาวน์โหลด

1. เลือกนามสกุลไฟล์ที่ต้องการนำไปใช้งาน ได้แก่ FLV, MPG, MP3, HD, MP4, iPhone

2. กดที่ปุ่มด้านขวามือที่เขียนว่า "Go"

3. จะมีป๊อปอัพขึ้นมาให้คุณกด "Save"

KickYouTube ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไว และเร็ว ในการดาวน์โหลดวิดีโอจากยูทูบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป

มดก็ไม่รู้นะว่าวิธีนี้จะใช้ได้ทุกเครื่องหรรือเปล่า
และโปรดใช้สติและวิจารณญาณในการใช้นะ(ผิดกฏหมายรึเปล่าเนี่ย)

มดเอง

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีทำความสะอาด CD-ROM

CD-ROM อุปกรณ์สำหรับอ่านผ่าน CD/DVD
CD-ROM ถือว่าเป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในคอมพิวเตอร์ เพราะนอกเหนือจากการใช้งานสำหรับดูหนัง ฟังเพลงแล้ว เรายังใช้ CD-ROM สำหรับการติดตั้งหรือแก้ไขปัญหาของ Windows อีกด้วย ดังนั้น การใช้งานจึงควรรู้จักการดูแลเจ้าชิ้นส่วนนีด้วยเช่นกัน?

ทำความสะอาดด้วยแผ่น CD-ROM Cleaner ดีหรือไม่
ข้อควรทราบและควรระวังสำหรับการใช้แผ่นทำความสะอาด CD-ROM ที่เป็นแผ่น CD และมีขนแปรงสำหรับการปัดฝุ่น สิ่งที่ที่ควรระวังก็คือ ถ้าขนแปรงบางเส้นหลุดล่วงไป จะทำให้เกิดผลเสียหายมากกว่าปกติได้ ดังนั้น จึงควรหลีกเหลี่ยง และที่สำคัญการใช้แปรงปัดฝุ่น อาจทำให้ผงฝุ่นกระเด็นไปติดยังส่วนอื่นๆ ภายใน CD-ROM หรือลงเครื่องคอมฯ เลย จริงไหมค่ะ..

วิธีทำความสะอาด CD-ROM อย่างง่าย และปลอดภัย
ให้ใส่สำลีชุบน้ำยาเช็ดทำความสะอาด (ชุบแบบหมาดๆ) จากนั้นให้เช็คทำความสะอาดบริเวณที่มีผงฝุ่นติดอยู่ก็เพียงพอแล้ว?ถ้าไม่หายอาจจำเป็นต้องใช้ลมช่วย โดยใช้เป่าบริเวณหัวอ่าน ซึ่งจะอาศัยความชำนาญและความเข้าใจกันสักนิด (อาจจำเป็นต้องถอด CD-ROM ออกมาด้วย)? มือใหม่ อย่าเพิ่งทดลองเลยดีกว่า..

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกระดาษกับเครื่องพิมพ์

สำหรับมือใหม่คัดใช้คอมพิวเตอร์
กระดาษเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนมองข้าม และไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเอาใจใส่มากนัก ซึ่งส่งผลให้เครื่องพิมพ์ (Printer) เกิดความเสียหาย และเป็นปัญหามาโดยตลอด ผมเชื่อว่ามากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาเครื่องพิมพ์มาจากปัญหาของกระดาษติด และส่งผลให้ฟันเฟืองภายในคอมพิวเตอร์เกิดการเสียหาย เนื่องจากเอาออกผิดวิธี

กระดาษที่เหมาะสำหรับเครื่องพิมพ์
- เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
กระดาษที่ใช้ควรเป็นกระดาษปกติ ไม่หนาหรือบางเกินไป มาตราฐานที่แนะนำคือ 80 กรัม
ห้ามใช้กระดาษมัน กรอสซี่ หรือกระดาษที่ใช้สำหรับเครื่องพิมพ์ประเภทอื่นๆ เช่น Inkjet เป็นต้น
ถ้าต้องการพิมพ์แผ่นใส แนะนำให้เลือกซื้อรุ่นที่รองรับกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์โดยเฉพาะ เพราะมิฉะนั้น แผ่นใสที่เป็นพลาสติก อาจละลายติดภายในเครื่องพิมพ์ได้
ถ้าต้องการพิมพ์สติกเกอร์ ต้องเลือกรุ่นสำหรับเลเซอร์โดยเฉพาะเช่นเดียวกัน ห้าม ! ใส่สติกเกอร์ทั่วไปโดยเด็ดขาด
- เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต (Inkjet Printer)
สามารถใช้กระดาษธรรมดา 80 กรัม พิมพ์ได้
กรณีพิมพ์ภาพถ่าย และต้องการคุณภาพสูง ควรใช้กระดาษสำหรับ Photo โดยเฉพาะ

ข้อแนะนำเกี่ยวกับกระดาษ
- ห้ามนำกระดาษที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่ โดยเฉพาะกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต เพราะ หลังจากถูกพิมพ์ไปแล้ว กระดาษจะมีความยุ่ยเกิดขึ้น ถ้านำไปพิมพ์ใหม่อีกครั้ง อาจเกิดประปัญหากระดาษติดได้
- สำหรับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ กระดาษที่ใช้พิมพ์หมาดๆ ห้ามนำไปใช้ซ้ำ เพราะถ้าน้ำหมึกยังไม่แห้งดีพอ อาจทำให้หมึกติดไปกับอุปกรณ์ภายใน ทำให้เวลาพิมพ์ครั้งต่อไป เกิดรอยสกปรกได้
- เลือกกระดาษที่ใช้ให้เหมาะสมกับเครื่องพิมพ์แต่ละประเภท ห้ามนำมาใช้รวมกันโดยเด็ดขาด

อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้กระดาษใช้ซ้ำ (Reuse) โดยเฉพาะกับองค์กรที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก จากประสบการณ์จริง คนส่วนใหญ่มักจะละเลย เศษแม็ก คลิป รวมทั้งใช้กระดาษที่บางเกินไป หรือกระดาษยับ และส่งผลให้เวลาพิมพ์ติด ส่วนการนำกระดาษที่ติดออก ก็มักจะรุนแรงกับเครื่องพิมพ์ และไม่ได้นำออกแบบถูกวิธี ผลสุดท้ายเครื่องพิมพ์พัง ต้องส่งซ่อม.. รู้แล้วอย่างนี้ ก็ลองนำไปพิจารณาดูกันน่ะครับ..

วิธีแก้ปัญหาลำโพงไม่ดัง

ลำโพง อุปกรณ์ในการช่วยขับเสียง
วันดีคืนดี คอมพิวเตอร์ของเราก็ไม่ส่งเสียง ได้ทดลองเปิดไฟล์เพลง MP3 หรือไฟล์วีดีโอสุดโปรดแล้ว เสียงก็ไม่ออกมาให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี

ตรวจสอบปัญหาลำโพงไม่ดัง แบบ 1-2-3
- เริ่มต้นให้ตรวจสอบสายลำโพงก่อนว่า ต่อแน่นกับตัวเครื่องอยู่หรือเปล่า
- ถ้าแน่น ให้ตรวจสอบว่าต่อสายถูกช่องหรือเปล่า (เคยมีประสบการณ์สายหลุด และต่อกลับไปผิดช่อง..งงไปเลย) ทดสอบง่ายๆ ให้เปิดไฟล์เพลง จากนั้นให้ลองดึงสายลำโพงออก และเสียบเข้าไปใหม่ ถ้าไม่แน่ใจ ให้ลองเสียบรูอื่นๆ ดู
- ดูสายไฟด้วยเสียบอยู่หรือเปล่า เพราะอย่างน้อยไฟก็ควรติดที่ตัวลำโพงด้วย
- ถ้าไม่ได้อีก ให้ปรับระดับเสียงที่ลำโพงไปมา ได้หรือยัง..
- ถ้ายังไม่ได้อีก อาจไม่ใช่ปัญหาจากลำโพง คงต้องตรวจสอบ driver ของ Sound Card ว่ามีปัญหาหรือไม่ ให้ทำตามดังนี้
1.คลิกขวาที่ My Computer
2.คลิกเลือก Properties
3.คลิกแท็ป Hardware
4.คลิกเลือก Device Manager
5.ให้ดูที่บรรทัด Sound, video and game controllers? ว่าปกติหรือไม่ โดยสังเกตว่ามีเครื่องหมาย กากบาทสีแดง หรือเครื่องหมาย ตกใจ (!) หรือไม่
6.ถ้ามีแสดงว่ามีปัญหากับ driver ของ sound card แนะนำให้ หา driver มาติดตั้งใหม่
7.ถ้าหาไม่ได้ ให้แนะนำ download จากเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง
หวังว่าคงจะทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาของเสียงของลำโพงไม่ดังได้แล้วน่ะค่ะ โชคดี

ทิปการแก้ไขปัญหาเสียงไม่ดัง เพิ่มเติม
คอมพิวเตอร์ในหลายๆ รุ่น ได้มีการฝังลำโพงที่หน้าจอภาพ ทั้ง LCD / CRT บางุร่น ดังนั้น อาจไม่จำเป็นต้องติดตั้งลำโพงเพิ่ม? ข้อสังเกตว่าจอคอมพิวเตอร์ของคุณมีลำโพงติดตั้งอยู่หรือไม่ ให้ลองมองหาช่องเสียงสายสัญญาณเสียง (ปกติจเป็นช่องที่มีสีเขียว) ถ้ามีแสดงว่าจอของคุณมีลำโพง หรือ Speaker ติดตั้งอยู่ด้วย

Format Flash Drive ให้ได้ NTFS

ใครต้องการ Format Flash Drive ให้ได้ NTFS
NTFS (New Technology File System) คือระบบไฟล์ที่ใช้คู่กับระบบปฏิบัติการ Windows ทำให้ได้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น



คุณทราบหรือไม่ว่า เวลาเราต้องการ format อุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลที่เรียกว่า Flash Drive เราจะเห็นหัวข้อ File System ให้เราเลือกได้แค่ FAT, FAT32 เท่านั้น (ทดสอบโดยเปิด Windows Explorer จากนั้นคลิกขวาที่ Flash Drive เลือกคำสั่ง Format จะเห็นว่ามีแค่ FAT, FAT32)?แต่หลายๆ คนคงทราบดีว่าไฟล์ประเภท NTFS จะมีระบบ security ที่ดีและสูงกว่ามาก?


วิธีการ Format Flash Drive ให้ได้ NTFS



- ให้ใส่ Flash Drive ลงใน USB port
- คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties
- คลิกแท็ป Hardware จากนั้นคลิก Device Manager
- คลิกหัวข้อ Disk Drive
- ให้เลือกหัวข้อ USB ของเรา (ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวไหน ให้ลองถอด Flash Drive ออกและเสียบเข้าไปใหม่)
- จากนั้นคลิกขวา เลือก Properties (ของ Flash Drive)
- คลิกแท็ป Policies
- ให้คลิกเลือก Optimize for Performance
- จากนั้นลองกลับไปทดสอบในหัวข้อการ Format อีกครั้ง จะเห็น NTFS ให้เลือกด้วย
ข้อควรระวัง ! การ Format ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม จะทำให้ข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์นั้นหายหมด ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำการสำรองข้อมูลก่อนทุกครั้ง