วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

หลายคำความหมายเดียว(โรแม้น เล็กๆ)

คิดว่าหลายคนคงเคยพูดคำว่า ฉันรักเธอ ผมรักคุณ เค้ารักตัว ฯลฯ แนวๆนี้ กันมามากแล้ว
บางทีพูดซ้ำๆ คนฟังอาจจะเบื่อ วันนี้เลยขอเสนอ

Afrikaans - Ek het jou lief
Albanian - Te dua
Arabic - Ana behibak (to male)
Arabic - Ana behibek (to female)
Armenian - Yes kez sirumen
Bambara - M''bi fe
Bangla - Aamee tuma ke bhalo aashi
Belarusian - Ya tabe kahayu
Bisaya - Nahigugma ako kanimo
Bulgarian - Obicham te
Cambodian - Soro lahn nhee ah
Cantonese Chinese - Ngo oiy ney a
Catalan - T''estimo
Cheyenne - Ne mohotatse
Chichewa - Ndimakukonda
Corsican - Ti tengu caru (to male)
Creol - Mi aime jou
Croatian - Volim te
Czech - Miluji te
Danish - Jeg Elsker Dig
Dutch - Ik hou van jou
English - I love you
Esperanto - Mi amas vin
Estonian - Ma armastan sind
Ethiopian - Afgreki''
Faroese - Eg elski teg
Farsi - Doset daram
Filipino - Mahal kita
Finnish - Mina rakastan sinua
French - Je t''aime, Je t''adore
Gaelic - Ta gra agam ort
Georgian - Mikvarhar
German - Ich liebe dich
Greek - S''agapo
Gujarati - Hoo thunay prem karoo choo
Hiligaynon - Palangga ko ikaw
Hawaiian - Aloha wau ia oi
Hebrew - Ani ohev otah (to female)
Hebrew - Ani ohev et otha (to male)
Hiligaynon - Guina higugma ko ikaw
Hindi - Hum Tumhe Pyar Karte hae
Hmong - Kuv hlub koj
Hopi - Nu'' umi unangwa''ta
Hungarian - Szeretlek
Icelandic - Eg elska tig
Ilonggo - Palangga ko ikaw
Indonesian - Saya cinta padamu
Inuit - Negligevapse
Irish - Taim i'' ngra leat
Italian - Ti amo
Japanese - Aishiteru
Kannada - Naanu ninna preetisuttene
Kapampangan - Kaluguran daka
Kiswahili - Nakupenda
Konkani - Tu magel moga cho
Korean - Sarang Heyo
Latin - Te amo
Latvian - Es tevi miilu
Lebanese - Bahibak
Lithuanian - Tave myliu
Malay - Saya cintakan mu / Aku cinta padamu
Malayalam - Njan Ninne Premikunnu
Mandarin Chinese - Wo ai ni
Marathi - Me tula prem karto
Mohawk - Kanbhik
Moroccan - Ana moajaba bik
Nahuatl - Ni mits neki
Navaho - Ayor anosh''ni
Norwegian - Jeg Elsker Deg
Pandacan - Syota na kita!!
Pangasinan - Inaru Taka
Papiamento - Mi ta stimabo
Persian - Doo-set daaram
Pig Latin - Iay ovlay ouyay
Polish - Kocham Ciebie
Portuguese - Eu te amo
Romanian - Te ubesk
Russian - Ya tebya liubliu
Scot Gaelic - Tha gradh agam ort
Serbian - Volim te
Setswana - Ke a go rata
Sign Language - ,,,/ (represents position of fingers when signing''I Love You'')
Sindhi - Maa tokhe pyar kendo ahyan
Sioux - Techihhila
Slovak - Lu''bim ta
Slovenian - Ljubim te
Spanish - Te quiero / Te amo
Swahili - Ninapenda wewe
Swedish - Jag alskar dig
Swiss-German - Ich lieb Di
Tagalog - Mahal kita
Taiwanese - Wa ga ei li
Tahitian - Ua Here Vau Ia Oe
Tamil - Nan unnai kathalikaraen
Telugu - Nenu ninnu premistunnanu
Thai - Chan rak khun (to male)
Thai - Phom rak khun (to female)
Turkish - Seni Seviyorum
Ukrainian - Ya tebe kahayu
Urdu - mai aap say pyaar karta hoo
Vietnamese - Anh ye^u em (to female)
Vietnamese - Em ye^u anh (to male)
Welsh - ''Rwy''n dy garu
Yiddish - Ikh hob dikh
Yoruba - Mo ni fe


สุขสันต์วันตรุษจีน และขอให้ความรักจงบังเกิดแด่ทุกคน
ปล ถ้าไม่เข้าใจอาจเริ่มอ่านจาก ประโยคสีแดงก่อนก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

หลีกเลี่ยงภัยจากโทรศัพท์มือถือ

ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่า การใช้โทรศัพท์มือถือมีอันตรายหรือไม่ แต่หากที่จะรู้จักกันไว้ดีกว่าแก้ก็คงจะเป็นการดี
1. ใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยครั้งลง และใช้เวลาในการโทรศัพท์แต่ละครั้งใน้น้อยที่สุด
2. ควรใช้อุปกรณ์หูฟัง (small talk หรือ hand free) ทุกครั้งเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือ
3. หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี ใช้โทรศัพท์มือถือ
4. หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในที่ที่มีสัญญาณคลื่นโทรศัพท์จากสถานีส่งต่ำ
5. หลีกเล3ช้โทรศัพท์มือถือในขณะเติมน้ำมันรถยนต์

ถ้าทำได้ตามที่ได้แนะนำไป ก็จะปลอดภัยจากการใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

รถพลังลม


รถยนต์พลังลม หรือ Air Car ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Motor Development International โดยหลักการทำงานพื้นฐานของรถอัดลมดังกล่าวก็คือ ภายในรถจะมีถังไฟเบอร์สามารถอัดลมเข้าไปเก็บไว้ได้ถึง 52 แกลลอน ก่อนที่จะส่งต่อให้กับเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เมื่อเติมลมจนเต็ม (ใช้เวลา 3 นาที) จะสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 93 ไมล์ หรือประมาณ 150 กิโลเมตรค่ะ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.26 เหรียญฯ หรือประมาณ 115 บาท ประหยัดดีจังเลยนะคะ แต่ความเร็วของรถยนต์คันนี้ก็สามารถเร่งได้สูงสุด 40 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั่นเอง

เท่าที่ดูจากคลิปวิดีโอ การอธิบายถึงเทคโนโลยีในการนำลมไปใช้ผลิตพลังงานให้กับเครื่องยนต์ไม่ค่อยมี การพูดถึงรายละเอียดสักเท่าไร ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือมากนัก เนื่องจากหลักฟิสิกส์พื้นฐานทีเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยมัธยมก็คือ เมื่อมีการส่งถ่ายพลังงานชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งมันย่อมมีการสูญเสีย พลังงานไปบางส่วน ซึ่งในที่นี้เราต้องใช้พลังงานไฟฟ้าไปสร้างพลังงานกล เพื่อบีบอัดอากาศเข้าไปในถัง หลังจากนั้นแปลงพลังงานลมที่เก็บในถังไปขับเคลื่อนเครื่องยนต์เพื่อให้ล้อรถ หมุนอีกทีหนึ่ง ไม่รู้ว่า คำตอบที่ได้มันคุ้มค่ากับประสิทธิภาพของรถที่ได้ หรือเปล่า หากเทียบกับการใช้แบตเตอรี่ และไฮโดรเจนที่อันตรายกว่า งานนี้ก็ต้องรอดูกันไป...

ล่าสุดบริษัท Tata Motors บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย ประกาศผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน โดยจะทยอยนำส่งเข้าสู่โชว์รูมในปี พ.ศ. 2552 รถยนต์พลังลม หรือ AirCar นี้ ใช้การปล่อยอากาศจากระบบบีบอัดอากาศด้วยความดันสูง โดยอากาศที่ปล่อยออกมาจะทำหน้าที่หมุนเพลา ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ โดยการเติมอากาศ สามารถเติมได้ตามสถานีอัดอากาศด้วยราคาไม่แพง โดยความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ประมาณ 200 กิโลเมตรต่อการเติมอากาศหนึ่งครั้ง Tata Motors ตั้งราคา โมเดลแรกของตาต้า CityCAT ตั้งราคาไว้ประมาณ 400,000 บาท

ถ้ามาขายในไทยมันจะกี่บาทหนอ กำแพงภาษีประเทศเราสูงซะด้วยซิ --"

ถ้าขี้เกียจอ่านก็ ดู คลิปเอาละกัน


วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

อาหารสมอง

DO & DON’T
*กินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา เหมาะกับผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ เพราะในข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงาน แถมป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย...ว้าว

*วิตามินบีหรือที่เรียกว่า “สารให้ความกระปรี้เปร่า” มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น

* วิตามินซีที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดได้

*น้ำมันปลา Omega-3 ในเนื้อปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้าเบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

*ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

*ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันจะทำให้ร่างกายสดชื่น สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย และตะคริว ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสได้แม้อยู่ในห้องแอร์

* แนะนำให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบหรือน้ำมะนาวในช่วงบ่ายที่กำลังง่วง เพราะมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน มีวิตามินซีสูง แถมมีธาตุเหล็กอีกด้วย สำหรับน้ำใบบัวบก จริงๆ แล้วเป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลีย ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดี

* ทานของหวานหลังอาหารกลางวันช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นได้ยาวนานขึ้น การทานรสเปรี้ยวและหวานช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ถ้าตอนบ่ายง่วงอาจกินผลไม้รสเปรี้ยว อย่างมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นได้

* ถ้าทำงานที่ต้องใช้สายตานานๆ ต้องมีถั่วติดโต๊ะไว้ เพราะถั่วมีวิตามินบี2 บำรุงสายตาได้ดี

* ผู้หญิงช่วงมีรอบเดือน ร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก จนทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ แนะนำให้ทานวิตามินซีควบคู่ไปกับการรับประทานเหล็ก จะเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

* ชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวสะอาดปลอดโปร่งขึ้น เพราะถุงชาช่วยลดมลพิษภายในอาคาร ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคาร เช่น โรคภูมิแพ้ ผืนแดงตามร่างกาย เป็นต้น

* ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมื้อเช้า เพราะตื่นเช้าขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอปรับตัวไม่ทัน ยิ่งถ้าตอนเช้าคุณมีประชุมด้วยละก็อาจเดือดร้อนเพราะท้องเดินได้

* จริงๆ แล้ว ผู้ที่ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้าหรือติดดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แล้วค่อยดื่มกาแฟตาม เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน และอย่าลืมว่าครีมกับน้ำตาลทำให้อ้วนได้

* ทางที่ดีหลีกเลี่ยงชาและกาแฟ โดยเฉพาะในช่วงเย็นถึงกลางคืน เพราะอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่ดื่มชา กาแฟ และสุรา เป็นประจำจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยกว่าที่ควร

* สำหรับมื้อเที่ยงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัด เพราะอาหารที่มีไขมันเยอะจะเกิดการสะสม ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า และก่อให้เกิดอาการหดหู่ ขาดความคล่องตัว

* เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่ากินข้าวเหนียวจะทำให้ง่วง ในความเป็นจริง ข้าวเหนียวย่อยยากและใช้พลังงานสูงในการย่อย จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากกินไปสักพักต่างหาก

เอามาฝาก* ยังงัยก้ออย่าลืมดูแลตัวเอง'ด้วยน๊า

ช่วงนี้อากาศหนาว รักษาสุขภาพกันด้วยจร้า อิอิ

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

โฆษณาที่น่าดู



สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

Happy New Year 2009

สวัสดีปีใหม่ทุกคน นะจ้ะ ....

สุขกาย สุขใจ สุขภาพกายและใจแข็งแรง นะคะ

ด้วยความรักและปรารถนาดี

อาจารย์จงดี

รูปนี้จากใจ ส่งให้ทุกคน

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

6 ข้อกับขอเท็จจริงที่เกี่ยวกับสมอง!!!


1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็นคนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงง เพลีย ทำงานช้าลงเข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมองเมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร ก็พบว่าไม่จริงสมองเพลียกับใครไม่เป็น เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียนเปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลยอาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ อย่างเช่นเวลาท่องตำรายากๆสักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อย ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป อีกใจหนึ่งอยากนอนเช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่านดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่าท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงานและไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุดสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำการคิดและความรู้สึกต่างๆสมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัวแต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite)สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแสไฟฟ้าในสมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

3. อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญนักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคนโดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์ หรือไอคิว แล้วกำหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย ก็ออกจะเสียใจ สักหน่อยแต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลยเพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่ายเท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆมักจะฉลาดกว่าคนอื่นแต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้ จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือนักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆ คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึก ตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงานไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมีไอคิวเท่าๆ กับคนธรรมดา อย่างเช่น จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน,เนลสัน เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆ แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษคืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้

4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกันความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้สมองเสื่อม ความจำไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียนการเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหวดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรคหรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอสมองเหมือนกับกล้ามเนื้อตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้นท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอความจำของท่านก็จะดีขึ้น คือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้นมีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจกำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมองทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหาหรือความยากลำบากต่างๆกำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิตใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่าจิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษและความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกองแต่มันน่าประหลาด ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วนและแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัวจิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิตอย่างเช่นบางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำเจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้นก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้านแต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อเขาโตขึ้นมันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำนักจิตวิทยากล่าวว่าหากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้า จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเองถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาดเราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

ภาษา Hi5 ภาษา msn ภาษาเพลง ภาษาควาย ภาษาไทย ภาษาคน..!!

พอดีไปเจอมา...คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี อาจจะยาวไปนิด
แต่ขอให้อดทนอ่านกันหน่อยนะครับ ^^

ความ "เคยชิน" ความ "สนุก" ผสมกับความ "มักง่าย"
และ กระทำบ่อยๆ บวกกับความที่เป็นคน "ไม่คิดมาก"
แถม "เสพติดแฟชั่น" ได้ง่าย และ ความที่คิดว่า "คงไม่เป็นไร"
หนำซ้ำก็ไม่มีใครตักเตือน !

บัดนี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ "โลกออนไลน์" เท่านั้น แต่..
ภาษาไทยจาก "สามัญสำนึก" ของ "คนไทย"
ส่ออาการเป็นง่อย ไร้สาระ ปัญญาอ่อน บ้าบอจนเข้าขั้นวิบัติ
"กัดกิน" มาถึงกระดูกของ "โลกในชีวิตจริงๆ" กันแล้ว !

เห็นได้ชัดกับเด็กๆมัธยมต้น - จนถึงปลาย
เขียนการบ้านส่งอาจารย์เป็น ภาษา Hi5 ไม่ก็ ภาษาที่ใช้ส่วนตัวใน
msn เริ่มจากลองเขียนเป็น "คำคำ" ไปก่อน เอาแค่คำที่ใช้บ่อยๆ
ไม่มีใครทราบว่าที่เขียน "เพราะชิน" หรือ อยากแค่ "แหย่อาจารย์" เล่น
เช่น.. - คำว่า เป็น เขียน เปน หรือ เปง
- คำว่า ครับ เขียน คร๊าฟ หรือ คร๊าบบ
- คำว่า คุณ เขียน คุง - ฯลฯ

แต่เมื่อผ่านตาอาจารย์ โดยไม่ได้รับการท้วงติง
เด็กบางคนก็เริ่มสนุก เขียนมาครั้งใหม่เลยเอากันมาทั้งประโยคเลย
และ ระบาดลามแผ่ไปเป็นกลุ่มในชั้นเรียน มองเป็นเรื่องโก้เก๋ ทันสมัย
อยู่ในเทรนด์ที่สังคมเขาทำกัน หากใครไม่เขียนอะไรเช่นนี้ - ก็เชย !
เด็กๆบางคนมันคิดกันอย่างนี้จริงๆ !!
เชิญอ่านตัวอย่างของความปัญญาอ่อน
ที่เด็กๆวัย 13 - 18 ปียุคนี้ กำลัง "อิน" โดยไม่ลืมหูลืมตา

ภาษาคน - เป็นอะไรก็ช่าง ขอให้เป็นคนดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - เปงอารายก้อจั้ง ขอให้เปงคงดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - เปนอารายยก้อชั่ง ขอห้ายเปนคงดี

ภาษาคน - คุณอย่าคอมเม้นท์เกินสามบรรทัดก็แล้วกัน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - คุงหย่าเม้นเกิน ๓ บันทัดก้อแล้วกาน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - คุงอย่าเม้นๆๆเกิน 3 บังทัดก้อแล้วกานน ฯลฯ

นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างเล็กๆ (ขอย้ำว่าเล็กๆ)
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นอยู่ ได้ลุกลามไปใหญ่โต และเกินเลยไปกว่านี้มากแล้ว
หนำซ้ำเด็กบางส่วน ยังเคยอ้างว่าเห็นผู้ใหญ่ที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือบางคน
ก็ใช้ภาษาปัญญาอ่อนอย่างนี้แหละเวลาเล่น Hi5 หรือคุยใน msn ผู้ใหญ่ยังทำ
แล้วเด็กจะไปเหลืออะไร ?!

ยิ่งกับเด็กที่ไร้วุฒิภาวะ คิดไม่ได้ มีชีวิตอยู่กับ Hi5 และ msn
มีโลกผูกติดอยู่กับอินเตอร์เน็ตทั้งวัน - ทั้งคืน
ผู้ใหญ่บางคนอาจจะบอกว่า.. ช่างมันเถอะ - มันก็อยู่แค่ในคอมพิวเตอร์
ใช้กันในคอมพิวเตอร์เท่านั้น คงไม่มีใครเอาภาษาเหล่านี้มาใช้ในชีวิตจริงๆหรอก !!

นี่ไงครับ - น้อยไปสิ ! ไอ้ที่ไม่รู้ ไม่เห็น ก็ไม่รู้อีกเท่าไหร่ ?!
ที่เคยชิน สนุกกับความมักง่าย นำไปใช้ในทางผิดๆ !!
หากไม่ช่วยกันยับยั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังกันบ้าง
เช่น..อย่างน้อยๆก็ควรเข้มงวดในห้องเรียน
หรือ คอยอบรมแนะนำให้เห็นโทษของการใช้ภาษาไทยผิดๆจนเป็นนิสัย
ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียน "ภาษาไทย" กันแล้ว !
ภาษาที่ถูกต้อง ก็เป็น "ศิลปะ" ที่สวยงามได้
โดยไม่ต้องปรับแต่งให้พิสดาร จนผิดการเขียน ผิดรูปความหมาย
และ ผิดต่อความรู้สึก !

แม้บางครั้ง - บางคนจะบอกว่าการเขียน "ผิดผิด" เช่นนี้
เป็นการเพิ่มอรรถรสในการสนทนาให้สนุกยิ่งขึ้นก็ตาม
ความเคยชินและการมองข้ามความผิดปกติกันจนเป็นนิสัย
กำลัง "ทำลาย" คูณค่าทางภาษาไปอย่างน่าเสียดาย - โดยไม่รู้ตัว

นึกไม่ออกเลย.. หากต่อๆไปภาษาที่อยู่ในเพลง จะเต็มไปด้วย "ภาษาขยะ"
ที่เข้าใจและยอมรับกันฉาบฉวยเพียง "บางกลุ่ม" แต่กลับระบาดหนักจนเต็มบ้านเต็มเมือง
หลุดออกนอกกรอบจนยากเกินจะควบคุม -----

จริงๆแล้วเรื่องเช่นนี้กล่าวหาว่าแต่เด็ก - ก็คงไม่ถูกทั้งหมด
แบบอย่างของความ "มักง่าย" บางส่วนก็มาจาก "ผู้ใหญ่" นั่นแหละ
ผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างของความ "ปัญญาอ่อน" บางคนที่ทั้งอาการหนัก
และ เป็นเอามาก เข้าขั้นเป็นโรค "ป่วยทางภาษา" ก็มีไม่น้อย !

มองว่าเขียนโดยใช้คำแบบนี้แล้ว จะดู "อายุน้อย" ดูเป็นเด็ก ดูน่ารัก
ดูร่วมสมัย ร่วมวัย ร่วมสังคมกับคนในโลกออนไลน์ได้ คิดแต่จะ "ตาม ตาม ตาม"
โดยไม่คำนึงถึงเรื่อง "ผิด - ถูก" เช่นนี้ เด็กที่ "รักดี" และกำลังไม่แน่ใจว่าเขียนอะไรเช่นนี้
ดีหรือเปล่า ? เมื่อเห็น "ผู้ใหญ่เฮงซวย" เป็นเสียเอง.. ..

หลังจากนี้ก็คงไม่ต้องเดา ?! อะไรที่ "มากเกินไป" เกินขอบเขต เกินยับยั้งชั่งใจ
กลายเป็น "ความเคยชิน" แม้ในใจจะรู้ว่า "ไม่ดี - ไม่ควร"
แต่กระแสสังคมก็มักจะโหมให้ "คนอ่อนแอ" คล้อยตามได้เสมอ
จนทำให้บางคนที่ว่า "ทำผิด" อยู่ทุกวัน - ยังไม่รู้ว่ามีสักวันที่ "ผิด" !!