พอดีไปเจอมา...คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี อาจจะยาวไปนิด
แต่ขอให้อดทนอ่านกันหน่อยนะครับ ^^
ความ "เคยชิน" ความ "สนุก" ผสมกับความ "มักง่าย"
และ กระทำบ่อยๆ บวกกับความที่เป็นคน "ไม่คิดมาก"
แถม "เสพติดแฟชั่น" ได้ง่าย และ ความที่คิดว่า "คงไม่เป็นไร"
หนำซ้ำก็ไม่มีใครตักเตือน !
บัดนี้ คงไม่ใช่เพียงแค่ "โลกออนไลน์" เท่านั้น แต่..
ภาษาไทยจาก "สามัญสำนึก" ของ "คนไทย"
ส่ออาการเป็นง่อย ไร้สาระ ปัญญาอ่อน บ้าบอจนเข้าขั้นวิบัติ
"กัดกิน" มาถึงกระดูกของ "โลกในชีวิตจริงๆ" กันแล้ว !
เห็นได้ชัดกับเด็กๆมัธยมต้น - จนถึงปลาย
เขียนการบ้านส่งอาจารย์เป็น ภาษา Hi5 ไม่ก็ ภาษาที่ใช้ส่วนตัวใน
msn เริ่มจากลองเขียนเป็น "คำคำ" ไปก่อน เอาแค่คำที่ใช้บ่อยๆ
ไม่มีใครทราบว่าที่เขียน "เพราะชิน" หรือ อยากแค่ "แหย่อาจารย์" เล่น
เช่น.. - คำว่า เป็น เขียน เปน หรือ เปง
- คำว่า ครับ เขียน คร๊าฟ หรือ คร๊าบบ
- คำว่า คุณ เขียน คุง - ฯลฯ
แต่เมื่อผ่านตาอาจารย์ โดยไม่ได้รับการท้วงติง
เด็กบางคนก็เริ่มสนุก เขียนมาครั้งใหม่เลยเอากันมาทั้งประโยคเลย
และ ระบาดลามแผ่ไปเป็นกลุ่มในชั้นเรียน มองเป็นเรื่องโก้เก๋ ทันสมัย
อยู่ในเทรนด์ที่สังคมเขาทำกัน หากใครไม่เขียนอะไรเช่นนี้ - ก็เชย !
เด็กๆบางคนมันคิดกันอย่างนี้จริงๆ !!
เชิญอ่านตัวอย่างของความปัญญาอ่อน
ที่เด็กๆวัย 13 - 18 ปียุคนี้ กำลัง "อิน" โดยไม่ลืมหูลืมตา
ภาษาคน - เป็นอะไรก็ช่าง ขอให้เป็นคนดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - เปงอารายก้อจั้ง ขอให้เปงคงดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - เปนอารายยก้อชั่ง ขอห้ายเปนคงดี
ภาษาคน - คุณอย่าคอมเม้นท์เกินสามบรรทัดก็แล้วกัน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - คุงหย่าเม้นเกิน ๓ บันทัดก้อแล้วกาน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - คุงอย่าเม้นๆๆเกิน 3 บังทัดก้อแล้วกานน ฯลฯ
นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างเล็กๆ (ขอย้ำว่าเล็กๆ)
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นอยู่ ได้ลุกลามไปใหญ่โต และเกินเลยไปกว่านี้มากแล้ว
หนำซ้ำเด็กบางส่วน ยังเคยอ้างว่าเห็นผู้ใหญ่ที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือบางคน
ก็ใช้ภาษาปัญญาอ่อนอย่างนี้แหละเวลาเล่น Hi5 หรือคุยใน msn ผู้ใหญ่ยังทำ
แล้วเด็กจะไปเหลืออะไร ?!
ยิ่งกับเด็กที่ไร้วุฒิภาวะ คิดไม่ได้ มีชีวิตอยู่กับ Hi5 และ msn
มีโลกผูกติดอยู่กับอินเตอร์เน็ตทั้งวัน - ทั้งคืน
ผู้ใหญ่บางคนอาจจะบอกว่า.. ช่างมันเถอะ - มันก็อยู่แค่ในคอมพิวเตอร์
ใช้กันในคอมพิวเตอร์เท่านั้น คงไม่มีใครเอาภาษาเหล่านี้มาใช้ในชีวิตจริงๆหรอก !!
นี่ไงครับ - น้อยไปสิ ! ไอ้ที่ไม่รู้ ไม่เห็น ก็ไม่รู้อีกเท่าไหร่ ?!
ที่เคยชิน สนุกกับความมักง่าย นำไปใช้ในทางผิดๆ !!
หากไม่ช่วยกันยับยั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังกันบ้าง
เช่น..อย่างน้อยๆก็ควรเข้มงวดในห้องเรียน
หรือ คอยอบรมแนะนำให้เห็นโทษของการใช้ภาษาไทยผิดๆจนเป็นนิสัย
ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียน "ภาษาไทย" กันแล้ว !
ภาษาที่ถูกต้อง ก็เป็น "ศิลปะ" ที่สวยงามได้
โดยไม่ต้องปรับแต่งให้พิสดาร จนผิดการเขียน ผิดรูปความหมาย
และ ผิดต่อความรู้สึก !
แม้บางครั้ง - บางคนจะบอกว่าการเขียน "ผิดผิด" เช่นนี้
เป็นการเพิ่มอรรถรสในการสนทนาให้สนุกยิ่งขึ้นก็ตาม
ความเคยชินและการมองข้ามความผิดปกติกันจนเป็นนิสัย
กำลัง "ทำลาย" คูณค่าทางภาษาไปอย่างน่าเสียดาย - โดยไม่รู้ตัว
นึกไม่ออกเลย.. หากต่อๆไปภาษาที่อยู่ในเพลง จะเต็มไปด้วย "ภาษาขยะ"
ที่เข้าใจและยอมรับกันฉาบฉวยเพียง "บางกลุ่ม" แต่กลับระบาดหนักจนเต็มบ้านเต็มเมือง
หลุดออกนอกกรอบจนยากเกินจะควบคุม -----
จริงๆแล้วเรื่องเช่นนี้กล่าวหาว่าแต่เด็ก - ก็คงไม่ถูกทั้งหมด
แบบอย่างของความ "มักง่าย" บางส่วนก็มาจาก "ผู้ใหญ่" นั่นแหละ
ผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างของความ "ปัญญาอ่อน" บางคนที่ทั้งอาการหนัก
และ เป็นเอามาก เข้าขั้นเป็นโรค "ป่วยทางภาษา" ก็มีไม่น้อย !
มองว่าเขียนโดยใช้คำแบบนี้แล้ว จะดู "อายุน้อย" ดูเป็นเด็ก ดูน่ารัก
ดูร่วมสมัย ร่วมวัย ร่วมสังคมกับคนในโลกออนไลน์ได้ คิดแต่จะ "ตาม ตาม ตาม"
โดยไม่คำนึงถึงเรื่อง "ผิด - ถูก" เช่นนี้ เด็กที่ "รักดี" และกำลังไม่แน่ใจว่าเขียนอะไรเช่นนี้
ดีหรือเปล่า ? เมื่อเห็น "ผู้ใหญ่เฮงซวย" เป็นเสียเอง.. ..
หลังจากนี้ก็คงไม่ต้องเดา ?! อะไรที่ "มากเกินไป" เกินขอบเขต เกินยับยั้งชั่งใจ
กลายเป็น "ความเคยชิน" แม้ในใจจะรู้ว่า "ไม่ดี - ไม่ควร"
แต่กระแสสังคมก็มักจะโหมให้ "คนอ่อนแอ" คล้อยตามได้เสมอ
จนทำให้บางคนที่ว่า "ทำผิด" อยู่ทุกวัน - ยังไม่รู้ว่ามีสักวันที่ "ผิด" !!
วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
2 ความคิดเห็น:
ยอมรับว่าบางครั้งเราก็ใช้แบบเพี้ยนๆไปเหมือนกัน
แต่เปนไม่มากอ่ะ
แบบที่อ่านมานี่ก็มากเกิ๊น
อ่านแล้วหงุดหงิดเลย
อืมม
ปกติเดี๋ยวนี้เราก็พยายาม
เขียนให้ถูกต้องนะ
อย่าง
สวัสดี อะไรงี้
เราก็เขียนนะ
แสดงความคิดเห็น