ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า
' วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้นในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'
วัวย้อนกลับว่า ' ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปี น่ะหรือ ? ฮึ! เมินเสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ เอาคืนไปเลย 30 ปี ถ้าได้ก็โอเค'
และพระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมาพระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของสุนัข หน้าที่ของเจ้าคือ นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'
สุนัขได้ฟังก็พูดขึ้นว่า 'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี! ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้ ขอคืนชีวิต 10 ปี ก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมาพระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า 'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะของลิง หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิงหลอกล่อคนให้หัวเราะ แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี' ลิงได้ฟังจึงตอบว่า ' อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิงและเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปี น่ะเหรอ ? ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่ 10 ปี ก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมาพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'
มนุษย์ได้ฟังก็ต่อรองว่า ' ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปี น่ะเหรอ เอาอย่างนี้ดีกว่าเราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม ?'
พระเจ้าตอบตกลง
นั่นเป็นเหตุผลว่า...
ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรก จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่น และไม่ต้องทำอะไรมากมาย
30 ปีต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว
10 ปีต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา
10 ปีต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ เพื่อหลอกล่อหลาน!
อ่านจบแล้วก็รีบใช้ชีวิตของมนุษย์ให้คุ้มโดยด่วนจากนั้นก็....ตั้งหน้าตั้งตาเป็นวัวกันต่อไปนะพี่น้อง อย่าอู้!!!!
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
พังพอนผู้เสียสละ
เรื่องเล่า เพื่อการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
สามีภรรยาคู่หนึ่งเลี้ยงพังพอนไว้ดูเล่นเพราะเห็นว่าน่ารัก ให้อาหารและเล่นหัวกับมันทุกวันจนมันโตและคุ้นกับคนดี ทำให้ทั้งคู่รักมันมาก
ต่อมาภรรยาให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งทั้งคู่เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมไม่ให้ห่างหูห่างตา เพราะยังไม่ไว้ใจพังพอนนัก กลัวจะมากัดลูกเอา วันหนึ่งทั้งคู่จำเป็นต้องออกไปนอกบ้าน เมื่อให้อาหารแล้วก็อุ้มใส่เปลรอกระทั่งลูกหลับจึงออกจากบ้าน กะว่าชักชั่วโมงจักลับลูกคงยังไม่ตื่น
แต่ใจก็กังวลพังพอนจะปีนขึ้นเปลไปกัดลูกเมื่อสองสามีภรรยาออกจากบ้านไปไม่นาน งูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาในบ้านเพื่อมาหาอาหาร ขณะที่เลื้อยเข้าไปใกล้เปลนั้นพังพอนเห็นเข้าจึงกระโดดกัดงูทันที
ทั้งๆ ที่ตัวเล็กกว่ามาก แต่ก็สู้สุดฤทธิ้ งูก็พยายามจะรัดพังพอนให้ได้พังพอนกระโดดหลบและกระโดดเข้าหาเป็นพัลวันจนเกือบหมดแรง
แต่ก็ฮึดสู้กระโดดกัดเข้าที่คองู ฝังเขี้ยวลงไปจนสุดเลือดงูทะลักออกมาเปื้อนเปรอะปากพังพอนไปหมด ดิ้นเท่าไรพังพอนก็ไม่ยอมคายเขี้ยว
ในที่สุดงูทนพิษพังพอนไม่ไหวสิ้นใจตายตรงนั้นชัวโมงเศษ สองสามีภารรยากลับมา พังพอนรีบออกไปต้อนรับเพื่อเสนอหน้าว่าได้ทำวีรกรรมอันสำคัญช่วยให้ลูกเจ้าของบ้านพ้นจากการเป็นเหยื่อของงูเหลือมยักษ์ได้
ฝ่ายภรรยาเห็นเลือดที่ปากพังพอนเท่านั้นก็คิดว่าพังพอนคงกัดลูกของตัวเข้าแล้ว เลือดยังกลบปากอยู่เลย คิดแล้วก็ให้แค้นนัก คว้าท่อนไม้ได้หวดเข้าที่หัวพังพอนไม่ยั้งจนพังพอนเละคามือแล้วรีบเข้าไปในห้อง
แต่อนิจจา ลูกนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเปล เห็นงูเหลือมขนาดใหญ่นอนตายจมกองเลือดอยู่ข้างเปลก็ทราบได้ทันทีว่าอะไรเกิดขึ้น
รีบวิ่งไปที่ประตู อุ้มซากพังพอนขึ้นมาแนบอก ร้องไห้โฮ รำพึงรำพัน"ขอโทษ ขอโทษ แม่ผิดไปแล้ว แม่ทำให้เจ้าต้องตายเพราะความโมโหหุนหันแท้ๆ"
แต่ก็สายเสียแล้ว พังพอนตายไปตั้งแต่โดนหวดไม้แรกแล้ว.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นหรืออย่างที่เราเข้าใจ จึงอย่าด่วนเชื่อด่วนตัดสินใจเชื่อหรือปฏิเสธไปตามที่ได้เห็นหรือตามที่ได้ยิน มันอาจไม่เป็นไปอย่างที่เราเห็นหรือที่เราคิดก็ได้ ที่ถูกควรรับฟังไว้ก่อน พิจารณาให้รอบคอบถ้วนถี่ พิสูจน์ให้เห็นจริง ให้ได้ความแน่นอนเสียก่อนค่อยเชื่อหรือปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้วู่วามไปทำเรื่องเสียหายร้ายแรง หรือทำให้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่ก็ได้ มีหลายคนที่ต้องมาเสียใจภายหลังเพราะความด่วนตัดสินใจ ชี้ผิดชี้ถูกโดยที่ยังมิได้พิจารณาหรือไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน ทำอะไรไปโดยหุนหันพลันแล่น เชื่อเพียงที่ได้เห็นหรือได้ยิน ในกรณีด่วนตัดสินใจนี้หากเป็นเรื่องสำคัญก็จะเสียหายบานปลายไปใหญ่โต ถึงกับเสียเงินเสียทอง เสียงชื่อเสียง และเสียบ้านเสียเมืองก็ยังมีให้เห็นกัน.
อ่านกันแล้วก็อยากให้ทุกคนไม่ว่าจะทำอะไรให้มีสติหน่อยนะคะจะได้ไม่เกิดสิ่งไม่ดีขึ้น
สามีภรรยาคู่หนึ่งเลี้ยงพังพอนไว้ดูเล่นเพราะเห็นว่าน่ารัก ให้อาหารและเล่นหัวกับมันทุกวันจนมันโตและคุ้นกับคนดี ทำให้ทั้งคู่รักมันมาก
ต่อมาภรรยาให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งทั้งคู่เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมไม่ให้ห่างหูห่างตา เพราะยังไม่ไว้ใจพังพอนนัก กลัวจะมากัดลูกเอา วันหนึ่งทั้งคู่จำเป็นต้องออกไปนอกบ้าน เมื่อให้อาหารแล้วก็อุ้มใส่เปลรอกระทั่งลูกหลับจึงออกจากบ้าน กะว่าชักชั่วโมงจักลับลูกคงยังไม่ตื่น
แต่ใจก็กังวลพังพอนจะปีนขึ้นเปลไปกัดลูกเมื่อสองสามีภรรยาออกจากบ้านไปไม่นาน งูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาในบ้านเพื่อมาหาอาหาร ขณะที่เลื้อยเข้าไปใกล้เปลนั้นพังพอนเห็นเข้าจึงกระโดดกัดงูทันที
ทั้งๆ ที่ตัวเล็กกว่ามาก แต่ก็สู้สุดฤทธิ้ งูก็พยายามจะรัดพังพอนให้ได้พังพอนกระโดดหลบและกระโดดเข้าหาเป็นพัลวันจนเกือบหมดแรง
แต่ก็ฮึดสู้กระโดดกัดเข้าที่คองู ฝังเขี้ยวลงไปจนสุดเลือดงูทะลักออกมาเปื้อนเปรอะปากพังพอนไปหมด ดิ้นเท่าไรพังพอนก็ไม่ยอมคายเขี้ยว
ในที่สุดงูทนพิษพังพอนไม่ไหวสิ้นใจตายตรงนั้นชัวโมงเศษ สองสามีภารรยากลับมา พังพอนรีบออกไปต้อนรับเพื่อเสนอหน้าว่าได้ทำวีรกรรมอันสำคัญช่วยให้ลูกเจ้าของบ้านพ้นจากการเป็นเหยื่อของงูเหลือมยักษ์ได้
ฝ่ายภรรยาเห็นเลือดที่ปากพังพอนเท่านั้นก็คิดว่าพังพอนคงกัดลูกของตัวเข้าแล้ว เลือดยังกลบปากอยู่เลย คิดแล้วก็ให้แค้นนัก คว้าท่อนไม้ได้หวดเข้าที่หัวพังพอนไม่ยั้งจนพังพอนเละคามือแล้วรีบเข้าไปในห้อง
แต่อนิจจา ลูกนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเปล เห็นงูเหลือมขนาดใหญ่นอนตายจมกองเลือดอยู่ข้างเปลก็ทราบได้ทันทีว่าอะไรเกิดขึ้น
รีบวิ่งไปที่ประตู อุ้มซากพังพอนขึ้นมาแนบอก ร้องไห้โฮ รำพึงรำพัน"ขอโทษ ขอโทษ แม่ผิดไปแล้ว แม่ทำให้เจ้าต้องตายเพราะความโมโหหุนหันแท้ๆ"
แต่ก็สายเสียแล้ว พังพอนตายไปตั้งแต่โดนหวดไม้แรกแล้ว.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นหรืออย่างที่เราเข้าใจ จึงอย่าด่วนเชื่อด่วนตัดสินใจเชื่อหรือปฏิเสธไปตามที่ได้เห็นหรือตามที่ได้ยิน มันอาจไม่เป็นไปอย่างที่เราเห็นหรือที่เราคิดก็ได้ ที่ถูกควรรับฟังไว้ก่อน พิจารณาให้รอบคอบถ้วนถี่ พิสูจน์ให้เห็นจริง ให้ได้ความแน่นอนเสียก่อนค่อยเชื่อหรือปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้วู่วามไปทำเรื่องเสียหายร้ายแรง หรือทำให้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่ก็ได้ มีหลายคนที่ต้องมาเสียใจภายหลังเพราะความด่วนตัดสินใจ ชี้ผิดชี้ถูกโดยที่ยังมิได้พิจารณาหรือไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน ทำอะไรไปโดยหุนหันพลันแล่น เชื่อเพียงที่ได้เห็นหรือได้ยิน ในกรณีด่วนตัดสินใจนี้หากเป็นเรื่องสำคัญก็จะเสียหายบานปลายไปใหญ่โต ถึงกับเสียเงินเสียทอง เสียงชื่อเสียง และเสียบ้านเสียเมืองก็ยังมีให้เห็นกัน.
อ่านกันแล้วก็อยากให้ทุกคนไม่ว่าจะทำอะไรให้มีสติหน่อยนะคะจะได้ไม่เกิดสิ่งไม่ดีขึ้น
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สัญญาณบอกว่าคุณ กำลัง inlove
1.ถ้าคุณเดินออกจากงานเลี้ยงที่วุ่นวาย
และรู้สึกว่า..อยากเดินกับเธอ เำพียง2คน
...คุณตกหลุมรักเธอ
2. คุณอยู่กับเธอ ..
คุณแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
แต่พอเธอไม่อยู่
คุณก็มองหา...คุณตกหลุมรักเธอ
แม้จะมีคนอื่น...ทำให้คุณหัวเราะอยู่
แต่...สายตาคุณก็มองอยู่ที่เธอ
.....คุณตกหลุมรักเธอ
3.พอดูรูปหมู่...คุณมองหาเธอ(ดูว่าใครอยู่ข้างเธอ,ดูว่าเธอเป็นไง)
…..คุณตกหลุมรักเธอ
4.คุณต้อง..งดคุยโทรศัพท์
เพราะเรียนหนัก
แต่ยกเว้น
ทำไม่ได้กับเธอ...หากเป็นเธอโทรมา
…..คุณตกหลุมรักเธอ
5.ถ้าคุณตื่นเต้นกับ E Mail สั้น ๆ ที่เธอส่งมา
มากกว่าMailของคนอื่น..ละก็
…..คุณตกหลุมรักเธอ
6.ถ้าคุณมักจะคอยบอกตัวเองว่า
"เป็นแค่เพื่อน"
จริงๆแล้วรู้ดีและห้ามตัวเองที่จะคิดเกินเพื่อนไม่ได้
…..คุณตกหลุมรักเธอ
และถ้าคุณอ่านข้อความนี้...
แล้วมีใครผ่านเข้ามาในความคิด
….คุณตกหลุมรักเธอหรือเค้าแล้วจ้า
คงกำลังคิดถึงคนนั้นอยู่แน่ ๆ...อิอิ
และรู้สึกว่า..อยากเดินกับเธอ เำพียง2คน
...คุณตกหลุมรักเธอ
2. คุณอยู่กับเธอ ..
คุณแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
แต่พอเธอไม่อยู่
คุณก็มองหา...คุณตกหลุมรักเธอ
แม้จะมีคนอื่น...ทำให้คุณหัวเราะอยู่
แต่...สายตาคุณก็มองอยู่ที่เธอ
.....คุณตกหลุมรักเธอ
3.พอดูรูปหมู่...คุณมองหาเธอ(ดูว่าใครอยู่ข้างเธอ,ดูว่าเธอเป็นไง)
…..คุณตกหลุมรักเธอ
4.คุณต้อง..งดคุยโทรศัพท์
เพราะเรียนหนัก
แต่ยกเว้น
ทำไม่ได้กับเธอ...หากเป็นเธอโทรมา
…..คุณตกหลุมรักเธอ
5.ถ้าคุณตื่นเต้นกับ E Mail สั้น ๆ ที่เธอส่งมา
มากกว่าMailของคนอื่น..ละก็
…..คุณตกหลุมรักเธอ
6.ถ้าคุณมักจะคอยบอกตัวเองว่า
"เป็นแค่เพื่อน"
จริงๆแล้วรู้ดีและห้ามตัวเองที่จะคิดเกินเพื่อนไม่ได้
…..คุณตกหลุมรักเธอ
และถ้าคุณอ่านข้อความนี้...
แล้วมีใครผ่านเข้ามาในความคิด
….คุณตกหลุมรักเธอหรือเค้าแล้วจ้า
คงกำลังคิดถึงคนนั้นอยู่แน่ ๆ...อิอิ
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ความสำเร็จต้องแลกด้วยอะไร
คราวที่แล้ว ได้พูดถึงความล้มเหลวเอาไว้ วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงการประสบความสำเร็จบ้าง ประเดี๋ยวมันจะไม่สมดุลกัน
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จ คุณต้องทำตัวคุณ และ สร้างตัวคุณให้เหมาะกับการทำงาน เหมาะกับเหตุการณ์ในอนาคต เหมาะกับเพื่อนร่วมงาน เหมาะกับเจ้านาย เหมาะกับลูกน้อง เหมาะกับลูกค้า และที่สำค้ญ ต้องเหมาะกับเป็นผู้ที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตด้วย
การเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนธรรมดาบางคน อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพื่อให้ต้วเองสามารถประสบความสำเร็จ แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักมีนิสัยที่ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ ถ้าตามทฤษฎีทางบริหารดังๆ ก็ต้อง 7 Habits แต่สำหรับบทความนี้จะเน้นให้คนมีสิ่งสำคัญพื้นฐาน 5 อย่าง ก็จะสามารถสร้างสิ่งที่คุณคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้...
ซึ่งนิสัยพื้นฐาน 5 ประการนั้น ต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คนที่อยากจะประสบความสำเร็จมาก ก็ต้องฝีกในทุกๆด้านให้มาก คนที่ฝีกเพียงบางด้านให้เชี่ยวชาญ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในบางเรื่อง เช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่อยากให้คุณแลกมาก็คือ การเปลี่ยนแปลงตัวคุณเอง ตามหลักพื้นฐานทั้ง 5 ข้างล่างนี้....
1. เรียนรู้
คนเราเรียนรู้มาตั้งแต่เกิด เรียนหนังสือก็เป็นสิบกว่าปี แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะเรียนมามากแค่ไหน ก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่ดี ดังนั้น การฝึกตนเองให้เป็นคนใฝ่รู้ และ ชอบเรียนรู้ในศาสตร์หลายๆด้าน หลายๆสิ่ง จะทำให้สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้งานกับหลายๆเหตุการณ์ไม่ว่าจะยาก หรือจะง่าย หรือ จะเป็นงานในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม ดังนั้น การเรียนรู้จึงเป็นพื้นฐานของความสำเร็จที่ต้องมาเป็นอันดับแรก แต่การเรียนรู้อย่างเดียว ไม่เคยนำมาประยุกต์ หรือ นำมาเรียบเรียง หรือ นำมาใช้ได้ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
2. ความคิด
ความคิด มีพื้นฐานจากการเรียนรู้ เป็นการกลั่น หรือ ประยุกต์สิ่งที่เรียนรู้มา ให้มาแก้ปัญหา หรือ คิดสร้างสรร สิ่งใหม่ๆ เพื่อสามารถทำให้สำเร็จ ความคิดเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างจากสัตว์ นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร การฝึกฝนทางด้านความคิดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
3. ลงมือทำ
มีความรู้ และ คิดได้ แต่ไม่สามารถ หรือไม่ยอมลงมือทำ ก็เท่ากับ ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเลย การลงมือทำจึงเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจากแรงใจ กำลังกาย และ ความมุ่งมั่นในการทำให้เกิด ทำให้เสร็จ หรือ ทำให้ละเอียด เรียบร้อยก็ตาม นั่นเป็นหนทางที่จะสร้างให้เกิดผลเกิดขึ้น
4. สื่อสาร
คนบางคนชอบเรียนรู้ คิดเก่ง ทำได้ดี แต่ไม่พูดให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำ เราได้คิดสิ่งนั้น สิ่งนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับ เขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เราทำเราสร้าง แล้วใครเล่าจะเห็นความสามารถ การสื่อสารเป็นสิ่งที่ง่าย แต่แฝงไว้ด้วยหลักการ ความคิด ความรู้ และ เทคนิคมากมายในการสื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ... คนเก่งทางด้านสื่อสาร สามารถเลี่ยงตัวเองและประสบความสำเร็จได้ มีมากมายให้เห็น อย่างเช่น นักพูด เป็นต้น... ส่วนบางคนมีการเรียนรู้ดี มีความสามารถ แต่ถ่ายทอดความรู้ความสามารถไม่ได้ ก็จะยากต่อการประสบความสำเร็จ บางครั้งอาจจะต้องพึ่งพาคนอื่น เพื่อสื่อสารให้จึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้เร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การสื่อสารเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ
5. วิเคราะห์
การวิเคราะห์ จะทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และ เข้าใจคนรอบข้างได้ดีมากยิ่งขึ้น นิสัยการวิเคราะห์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฝีกกันได้ แต่หากมีความสามารถทางด้านวิเคราะห์ แล้ว จะทำให้เราเห็นความจริง สามารถรวบรวมกลั่นกรองความคิด ให้รวบยอดมาเป็นแนวทางสั้นๆ แต่สามารถทำงานได้จริง
เราคิดว่า สิ่งเหล่านี้อาจจะสามารถช่วยให้เพื่อนๆสามารถมองเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่อยู่ๆเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขาต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงแนวความคิด และ มองเห็นสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นไปจริงๆ ทำให้เขาเหล่านั้น มองเห็นหนทาง หรือ แนวทางที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้...
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จ คุณต้องทำตัวคุณ และ สร้างตัวคุณให้เหมาะกับการทำงาน เหมาะกับเหตุการณ์ในอนาคต เหมาะกับเพื่อนร่วมงาน เหมาะกับเจ้านาย เหมาะกับลูกน้อง เหมาะกับลูกค้า และที่สำค้ญ ต้องเหมาะกับเป็นผู้ที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตด้วย
การเปลี่ยนแปลงตัวตนของคนธรรมดาบางคน อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพื่อให้ต้วเองสามารถประสบความสำเร็จ แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักมีนิสัยที่ส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ ถ้าตามทฤษฎีทางบริหารดังๆ ก็ต้อง 7 Habits แต่สำหรับบทความนี้จะเน้นให้คนมีสิ่งสำคัญพื้นฐาน 5 อย่าง ก็จะสามารถสร้างสิ่งที่คุณคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้...
ซึ่งนิสัยพื้นฐาน 5 ประการนั้น ต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คนที่อยากจะประสบความสำเร็จมาก ก็ต้องฝีกในทุกๆด้านให้มาก คนที่ฝีกเพียงบางด้านให้เชี่ยวชาญ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในบางเรื่อง เช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่อยากให้คุณแลกมาก็คือ การเปลี่ยนแปลงตัวคุณเอง ตามหลักพื้นฐานทั้ง 5 ข้างล่างนี้....
1. เรียนรู้
คนเราเรียนรู้มาตั้งแต่เกิด เรียนหนังสือก็เป็นสิบกว่าปี แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะเรียนมามากแค่ไหน ก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่ดี ดังนั้น การฝึกตนเองให้เป็นคนใฝ่รู้ และ ชอบเรียนรู้ในศาสตร์หลายๆด้าน หลายๆสิ่ง จะทำให้สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้งานกับหลายๆเหตุการณ์ไม่ว่าจะยาก หรือจะง่าย หรือ จะเป็นงานในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม ดังนั้น การเรียนรู้จึงเป็นพื้นฐานของความสำเร็จที่ต้องมาเป็นอันดับแรก แต่การเรียนรู้อย่างเดียว ไม่เคยนำมาประยุกต์ หรือ นำมาเรียบเรียง หรือ นำมาใช้ได้ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
2. ความคิด
ความคิด มีพื้นฐานจากการเรียนรู้ เป็นการกลั่น หรือ ประยุกต์สิ่งที่เรียนรู้มา ให้มาแก้ปัญหา หรือ คิดสร้างสรร สิ่งใหม่ๆ เพื่อสามารถทำให้สำเร็จ ความคิดเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างจากสัตว์ นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร การฝึกฝนทางด้านความคิดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
3. ลงมือทำ
มีความรู้ และ คิดได้ แต่ไม่สามารถ หรือไม่ยอมลงมือทำ ก็เท่ากับ ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเลย การลงมือทำจึงเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจากแรงใจ กำลังกาย และ ความมุ่งมั่นในการทำให้เกิด ทำให้เสร็จ หรือ ทำให้ละเอียด เรียบร้อยก็ตาม นั่นเป็นหนทางที่จะสร้างให้เกิดผลเกิดขึ้น
4. สื่อสาร
คนบางคนชอบเรียนรู้ คิดเก่ง ทำได้ดี แต่ไม่พูดให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำ เราได้คิดสิ่งนั้น สิ่งนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับ เขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เราทำเราสร้าง แล้วใครเล่าจะเห็นความสามารถ การสื่อสารเป็นสิ่งที่ง่าย แต่แฝงไว้ด้วยหลักการ ความคิด ความรู้ และ เทคนิคมากมายในการสื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ... คนเก่งทางด้านสื่อสาร สามารถเลี่ยงตัวเองและประสบความสำเร็จได้ มีมากมายให้เห็น อย่างเช่น นักพูด เป็นต้น... ส่วนบางคนมีการเรียนรู้ดี มีความสามารถ แต่ถ่ายทอดความรู้ความสามารถไม่ได้ ก็จะยากต่อการประสบความสำเร็จ บางครั้งอาจจะต้องพึ่งพาคนอื่น เพื่อสื่อสารให้จึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้เร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การสื่อสารเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ
5. วิเคราะห์
การวิเคราะห์ จะทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และ เข้าใจคนรอบข้างได้ดีมากยิ่งขึ้น นิสัยการวิเคราะห์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฝีกกันได้ แต่หากมีความสามารถทางด้านวิเคราะห์ แล้ว จะทำให้เราเห็นความจริง สามารถรวบรวมกลั่นกรองความคิด ให้รวบยอดมาเป็นแนวทางสั้นๆ แต่สามารถทำงานได้จริง
เราคิดว่า สิ่งเหล่านี้อาจจะสามารถช่วยให้เพื่อนๆสามารถมองเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่อยู่ๆเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขาต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงแนวความคิด และ มองเห็นสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นไปจริงๆ ทำให้เขาเหล่านั้น มองเห็นหนทาง หรือ แนวทางที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้...
ลิงกับลา
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา ทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย
เธอทั้งหลาย...(ที่รักของครู ... แต่ไม่เท่ากันนะจ้ะ)
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า ลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลยเพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
เหตุที่องค์กรที่เป็นสังคมเล็กๆ ของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา ตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ลองเอาบทความนี้ให้อ่านเนื่องจาก เห็นว่า เราจะต้องจัดการกับลิงและลาอย่างมีสตินะจ้ะ และมีความจริงหรือข้อมูล (Data) เป็นพื้นฐานนะคะ อย่าเอาแต่ คิด คิด คิด คิด ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ... กระโดดลงไปทำนะจ้ะ
ด้วยความรักและความปรารถนาดี
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา ทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ อะไรได้เลย
เธอทั้งหลาย...(ที่รักของครู ... แต่ไม่เท่ากันนะจ้ะ)
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า ลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลยเพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
เหตุที่องค์กรที่เป็นสังคมเล็กๆ ของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิง สร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจา ตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลา อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ลองเอาบทความนี้ให้อ่านเนื่องจาก เห็นว่า เราจะต้องจัดการกับลิงและลาอย่างมีสตินะจ้ะ และมีความจริงหรือข้อมูล (Data) เป็นพื้นฐานนะคะ อย่าเอาแต่ คิด คิด คิด คิด ว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ... กระโดดลงไปทำนะจ้ะ
ด้วยความรักและความปรารถนาดี
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วิธีการฝายปอดให้ตัวเอง
หายไปนานเลยครับมาคราวนี้ก็ขอเปิดด้วยประเด็นสุขภาพละกัน
วิธีการนี้ได้ถูกเรียกว่าผายปอดด้วยการไอ
สมมุติว่ามันเป็นเวลาหกโมงเย็นและคุณกำลังขับรกลับบ้านคนเดียวหลังจากเลิกงานแล้ว
คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหดหู่และเครียดทันใดนั้นเองคุณก็รู้สึกเจ็บขึ้นที่หน้าอก
อาการเจ็บเริ่มแผ่กระจายไปตามแขนและลามขึ้นมาถึงขากรรไกร
คุณจะทำอย่างไร?
ถึงคุณอาจเคยเรียนวิธีผายปอดมาแล้ว
แต่สิ่งที่คุณเรียนมานั้นไม่ได้สอนว่าจะช่วยผายปอดตัวเองอย่างไร?
จะทำอย่างไรดีหากท่านอยู่คนเดียวแล้วเกิดอาการหัวใจล้มหลวกระทันหัน?
เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยการไอแรงๆซ้ำๆ
อย่างต่อเนื่อง!
ก่อนการไอแรงๆ ทุกครั้งควรสูดลมหายใจให้ลึกๆ
การไอแต่ละครั้งควรไอให้ยาวๆ เหมือนกับตอนที่พยายามขากเสลดจากปอด
การหายใจลึกๆ และไอแรงๆ ต้องกระทำต่อเนื่องทุกๆ 2 วินาที
(ย้ำทุกๆ 2 วินาที)
จนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือหรือจนกระทั่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นปกติแล้ว
หลักการของวิธีนี้คือ
การหายใจลึกๆ จะทำให้ปอดได้รับออกซิเจน
ส่วนการไอแรงๆ
นั้นจะทำให้แรงกระเทือนไปช่วยบีบหัวใจและทำให้เลือดหมุนเวียนได้
และแรงกระเทือนและแรงบีบหัวใจจากการไอนี้จะช่วยทำให้หัวใจกลับสู่การเต้นปรกติได้
การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่ประสบอาการหัวใจล้มเหลวกระทันหัน
ทันพอที่จะ พาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้
^^
วิธีการนี้ได้ถูกเรียกว่
คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหดหู่
อาการเจ็บเริ่มแผ่
คุณจะทำอย่างไร?
ถึงคุณอาจเคยเรียนวิธี
แต่สิ่งที่คุณเรียนมานั้
จะทำอย่างไรดีหากท่านอยู่
เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
อย่างต่อเนื่อง!
ก่อนการไอแรงๆ ทุกครั้งควรสูดลมหายใจให้ลึกๆ
การไอแต่ละครั้งควรไอให้
การหายใจลึกๆ และไอแรงๆ ต้องกระทำต่อเนื่องทุกๆ 2 วินาที
(ย้ำทุกๆ 2 วินาที)
จนกว่าจะได้รั
หลักการของวิธีนี้คือ
การหายใจลึกๆ จะทำให้ปอดได้รับออกซิเจน
ส่วนการไอแรงๆ
นั้นจะทำให้แรงกระเทื
และแรงกระเทือนและแรงบีบหั
การทำแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที
ทันพอที่จะ พาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลได้
^^
อาหารแสลงตอนป่วย
ไข้หวัด มีไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิง หรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ
โรคกระเพาะ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
โรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน
โรคตับและถุงน้ำดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องใน! อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
โรคหัวใจและโรคไต ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด
นอนไม่หลับ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท
โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครที่เป็นหรือมีคนใกล้ตัวที่เป็นโรคที่แนะนำมาลองงดอาหารจำพวกนี้ดูนะ
รักษาสุขภาพให้แข็งแรงที่สุดเป็นเรื่องดีนะจ๊ะเพื่อนๆ
โรคกระเพาะ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
โรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน
โรคตับและถุงน้ำดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องใน! อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
โรคหัวใจและโรคไต ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด
นอนไม่หลับ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท
โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครที่เป็นหรือมีคนใกล้ตัวที่เป็นโรคที่แนะนำมาลองงดอาหารจำพวกนี้ดูนะ
รักษาสุขภาพให้แข็งแรงที่สุดเป็นเรื่องดีนะจ๊ะเพื่อนๆ
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมบูรณ์...
........สมบูรณ์......
เป็นอีกคนหนึ่งที่พกรูปถ่ายของภรรยาติดกระเป๋าสตางค์ไว้เสมอ.. แม้ว่าภรรยาของเขาจะเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วก็ตาม ทุกครัง้ที่สมบูรณ์ประสบกับปัญหาสมบูรณ์จะหยิบภาพถ่ายออกมาดู และเขาก็ผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้เสมอ ไม่ว่าสมบูรณ์จะเจออุปสรรคมากมายขนาดไหน บางครั้งเมื่อเขานึกท้อแท้ เขาก็จะรีบเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบรูปถ่ายภรรยาออกมาดูทุกครั้งไป
..........โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่เศรษฐกิจไทยก้าวสู่ยุคฟองสบู่แตก สมบูรณ์แทบสิ้นหวัง เขาแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่เขาก็ผ่านจุดต่ำสุดนั้นมาได้... วันนี้ สมบูรณ์ก้าวสู่ความสำเร็จนได้รับรางวัลบุคคลสู้ชีวิตแห่งปี และได้ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้... สมบูรณ์กล่าวว่า
... ...........“เคล็ดลับที่ทำให้ผมผ่านอุปสรรคอันเลวร้ายต่าง ๆมาได้ ก็เพราะผมพกภาพถ่ายของภรรยาผมติดตัวไว้ตลอดเวลา...” สิ้นเสียงกล่าวของสมบุรณ์
... ............เสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยงมอบรางวัล... โดยเฉพาะบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาร่วมงาน ต่างพากันสะกิดสามีของตัวเอง พร้อมกับคำกระแหนะกระแหน ว่าทำไมไม่เอาตัวอย่างสมบูรณ์บ้าง
...........เมื่องานเลี้ยงเลิกรา..สมบูรณ์กลับถึงบ้าน เขาควักรูปถ่ายของภรรยาออกมาดูอีก แล้วรำพึงรำพันกับภาพถ่ายว่า
... ...........* “ทุกครั้งที่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง"*
.... ก็มีภาพถ่ายของเธอนี่แหละที่ทำให้ได้ระลึกอยู่เสมอว่า
... ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าตอนที่อยุ่กับเธออีกแล้ว
เป็นอีกคนหนึ่งที่พกรูปถ่ายของภรรยาติดกระเป๋าสตางค์ไว้เสมอ.. แม้ว่าภรรยาของเขาจะเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วก็ตาม ทุกครัง้ที่สมบูรณ์ประสบกับปัญหาสมบูรณ์จะหยิบภาพถ่ายออกมาดู และเขาก็ผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้เสมอ ไม่ว่าสมบูรณ์จะเจออุปสรรคมากมายขนาดไหน บางครั้งเมื่อเขานึกท้อแท้ เขาก็จะรีบเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบรูปถ่ายภรรยาออกมาดูทุกครั้งไป
..........โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่เศรษฐกิจไทยก้าวสู่ยุคฟองสบู่แตก สมบูรณ์แทบสิ้นหวัง เขาแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่เขาก็ผ่านจุดต่ำสุดนั้นมาได้... วันนี้ สมบูรณ์ก้าวสู่ความสำเร็จนได้รับรางวัลบุคคลสู้ชีวิตแห่งปี และได้ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้... สมบูรณ์กล่าวว่า
... ...........“เคล็ดลับที่ทำให้ผมผ่านอุปสรรคอันเลวร้ายต่าง ๆมาได้ ก็เพราะผมพกภาพถ่ายของภรรยาผมติดตัวไว้ตลอดเวลา...” สิ้นเสียงกล่าวของสมบุรณ์
... ............เสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยงมอบรางวัล... โดยเฉพาะบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาร่วมงาน ต่างพากันสะกิดสามีของตัวเอง พร้อมกับคำกระแหนะกระแหน ว่าทำไมไม่เอาตัวอย่างสมบูรณ์บ้าง
...........เมื่องานเลี้ยงเลิกรา..สมบูรณ์กลับถึงบ้าน เขาควักรูปถ่ายของภรรยาออกมาดูอีก แล้วรำพึงรำพันกับภาพถ่ายว่า
... ...........* “ทุกครั้งที่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง"*
.... ก็มีภาพถ่ายของเธอนี่แหละที่ทำให้ได้ระลึกอยู่เสมอว่า
... ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าตอนที่อยุ่กับเธออีกแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ข้อห้ามของ "ความรัก"
1. อย่าเอาใจแต่ตัวเอง แปลความหมายให้เข้าใจง่ายว่า อย่าเอาแต่ใจ (จะตั้งชื่อให้งงทำไม?) เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเอาแต่ใจตัวเองกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ใครจะเอาแต่ใจตัวเองมาก หรือ น้อย ลองลดปริมาณความเอาแต่ใจลงสักนิด ในขณะเดียวกันก็เสียสละให้มากขึ้น อย่างไรหนุ่มๆ ก็ต้องเป็นฝ่ายตามใจสาวๆ อยู่วันยังค่ำครับ 2. มีคู่อยู่ อย่าเจ้าชู้นะ อาการหวั่นไหว ใครเขาก็เป็นกัน แอบมองตาม มีความสุข อันนี้ไม่มีใครว่า แต่อย่าต่อเรื่องให้ยาวยืด
การแอบมีกิ๊กเนี่ย มันสนุกแค่ช่วงแรกเท่านั้นล่ะ พอหลวมตัวมากเข้าๆ มันนรกชัดๆ เรื่องท้าทาย อาจกลายเป็นเรื่องความรักตาย ก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าหาเรื่องให้งานเข้าดีกว่าครับ
3. คนนะ ไม่ใช่แมว การแสดงให้รู้ว่าเรากับเธอเป็นแฟนกันเนี่ย ได้อยู่แล้วครับ เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเธอ มากจนเกินไป เช่น โทรศัพท์ไปตามบ่อยๆ เกินไป ทำอะไรต้องมารายงาน (ดีนะ ไม่ให้เย็บรูปเล่มส่งด้วย) มีห่วงหวงกันบ้าง บางจังหวะ แต่ก็อย่าลืมว่า คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง การปล่อยให้เธอไป ลั๊นลา กับเพื่อนๆ บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งกังวลครับ ทำใจให้สบายๆ หรือจะไปเที่ยวกับเพื่อนของเราบ้าง ตามประสาผู้ชายแก้เหงา ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
4. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสีย... เดี๋ยวได้เลิกกัน เป็นปัญหาที่หลายคนแอบทำกันบ่อย แต่มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยรู้ไหม เพราะการเม้มปาก ไม่ยอมเอ่ยคำเนี่ย มันทำให้ปัญหาเก่าๆ ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วยังอาจเพิ่มปัญหาใหม่ๆ ในชีวิตรักของเราอีกด้วย ดังนั้นเกิดอาการไม่เข้าใจอะไร ก็เปิดอกเปิดใจ ปรับความรู้สึกต่อกันไปเสียเถิด
5. อดทนแต่พองาม อย่ามาแนวนางเอกละครเชียว 'กรุณาอย่าฝืนยิ้ม ทั้งที่ใจสั่นครับ'เพราะแรงสั่นสะเทือนมันจะสะสม เพิ่มขนาดพลังทำลายล้างให้น่ากลัวขึ้นกันไปใหญ่ ติดใจเรื่องใด ก็รีบบอกกล่าว จะได้รีบร่วมแก้ไขปัญหากัน เรื่องไหนค้างคา ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ก็อย่าหวงแหนไว้ล่ะ การถาม ให้ได้คำตอบก็ควรทำครับ (อย่าถามด้วยอารมณ์ คำพูด ของการโมโหนะ) 6. วันพระ ละการโกหก ตั้งชื่อให้คล้องจองกันเฉยๆ แต่ความจริงต้องทำทุกวันนะครับ ถ้าพูดปด เพื่อถนอมน้ำใจ หรือเพื่อความสบายใจใดๆ ก็พอจะยกประโยชน์ให้ได้ แต่ถ้าเป็นการเพื่อปกปิดความผิด หรือเอาตัวรอด อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เราต้องแสดงความจริงใจต่อกันให้มากที่สุด มาโกหกปกปิด เอาตัวรอดไปวันๆ เดี๋ยวความรักจะไม่ยืดนะครับ เป็นวิธีดูแลความรักฉบับบอยส์นะครับ หนุ่มๆ สามารถเอาไปใช้เพื่อถนอมความรัก ในช่วงความรักผลิบานอย่างวาเลนไทน์ได้เลย
การแอบมีกิ๊กเนี่ย มันสนุกแค่ช่วงแรกเท่านั้นล่ะ พอหลวมตัวมากเข้าๆ มันนรกชัดๆ เรื่องท้าทาย อาจกลายเป็นเรื่องความรักตาย ก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าหาเรื่องให้งานเข้าดีกว่าครับ
3. คนนะ ไม่ใช่แมว การแสดงให้รู้ว่าเรากับเธอเป็นแฟนกันเนี่ย ได้อยู่แล้วครับ เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเธอ มากจนเกินไป เช่น โทรศัพท์ไปตามบ่อยๆ เกินไป ทำอะไรต้องมารายงาน (ดีนะ ไม่ให้เย็บรูปเล่มส่งด้วย) มีห่วงหวงกันบ้าง บางจังหวะ แต่ก็อย่าลืมว่า คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง การปล่อยให้เธอไป ลั๊นลา กับเพื่อนๆ บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งกังวลครับ ทำใจให้สบายๆ หรือจะไปเที่ยวกับเพื่อนของเราบ้าง ตามประสาผู้ชายแก้เหงา ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
4. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสีย... เดี๋ยวได้เลิกกัน เป็นปัญหาที่หลายคนแอบทำกันบ่อย แต่มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยรู้ไหม เพราะการเม้มปาก ไม่ยอมเอ่ยคำเนี่ย มันทำให้ปัญหาเก่าๆ ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วยังอาจเพิ่มปัญหาใหม่ๆ ในชีวิตรักของเราอีกด้วย ดังนั้นเกิดอาการไม่เข้าใจอะไร ก็เปิดอกเปิดใจ ปรับความรู้สึกต่อกันไปเสียเถิด
5. อดทนแต่พองาม อย่ามาแนวนางเอกละครเชียว 'กรุณาอย่าฝืนยิ้ม ทั้งที่ใจสั่นครับ'เพราะแรงสั่นสะเทือนมันจะสะสม เพิ่มขนาดพลังทำลายล้างให้น่ากลัวขึ้นกันไปใหญ่ ติดใจเรื่องใด ก็รีบบอกกล่าว จะได้รีบร่วมแก้ไขปัญหากัน เรื่องไหนค้างคา ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ก็อย่าหวงแหนไว้ล่ะ การถาม ให้ได้คำตอบก็ควรทำครับ (อย่าถามด้วยอารมณ์ คำพูด ของการโมโหนะ) 6. วันพระ ละการโกหก ตั้งชื่อให้คล้องจองกันเฉยๆ แต่ความจริงต้องทำทุกวันนะครับ ถ้าพูดปด เพื่อถนอมน้ำใจ หรือเพื่อความสบายใจใดๆ ก็พอจะยกประโยชน์ให้ได้ แต่ถ้าเป็นการเพื่อปกปิดความผิด หรือเอาตัวรอด อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เราต้องแสดงความจริงใจต่อกันให้มากที่สุด มาโกหกปกปิด เอาตัวรอดไปวันๆ เดี๋ยวความรักจะไม่ยืดนะครับ เป็นวิธีดูแลความรักฉบับบอยส์นะครับ หนุ่มๆ สามารถเอาไปใช้เพื่อถนอมความรัก ในช่วงความรักผลิบานอย่างวาเลนไทน์ได้เลย
ข้อห้ามของ "ความรัก"
1. อย่าเอาใจแต่ตัวเอง แปลความหมายให้เข้าใจง่ายว่า อย่าเอาแต่ใจ (จะตั้งชื่อให้งงทำไม?) เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเอาแต่ใจตัวเองกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ใครจะเอาแต่ใจตัวเองมาก หรือ น้อย ลองลดปริมาณความเอาแต่ใจลงสักนิด ในขณะเดียวกันก็เสียสละให้มากขึ้น อย่างไรหนุ่มๆ ก็ต้องเป็นฝ่ายตามใจสาวๆ อยู่วันยังค่ำครับ 2. มีคู่อยู่ อย่าเจ้าชู้นะ อาการหวั่นไหว ใครเขาก็เป็นกัน แอบมองตาม มีความสุข อันนี้ไม่มีใครว่า แต่อย่าต่อเรื่องให้ยาวยืด
การแอบมีกิ๊กเนี่ย มันสนุกแค่ช่วงแรกเท่านั้นล่ะ พอหลวมตัวมากเข้าๆ มันนรกชัดๆ เรื่องท้าทาย อาจกลายเป็นเรื่องความรักตาย ก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าหาเรื่องให้งานเข้าดีกว่าครับ
3. คนนะ ไม่ใช่แมว การแสดงให้รู้ว่าเรากับเธอเป็นแฟนกันเนี่ย ได้อยู่แล้วครับ เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเธอ มากจนเกินไป เช่น โทรศัพท์ไปตามบ่อยๆ เกินไป ทำอะไรต้องมารายงาน (ดีนะ ไม่ให้เย็บรูปเล่มส่งด้วย) มีห่วงหวงกันบ้าง บางจังหวะ แต่ก็อย่าลืมว่า คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง การปล่อยให้เธอไป ลั๊นลา กับเพื่อนๆ บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งกังวลครับ ทำใจให้สบายๆ หรือจะไปเที่ยวกับเพื่อนของเราบ้าง ตามประสาผู้ชายแก้เหงา ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
4. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสีย... เดี๋ยวได้เลิกกัน เป็นปัญหาที่หลายคนแอบทำกันบ่อย แต่มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยรู้ไหม เพราะการเม้มปาก ไม่ยอมเอ่ยคำเนี่ย มันทำให้ปัญหาเก่าๆ ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วยังอาจเพิ่มปัญหาใหม่ๆ ในชีวิตรักของเราอีกด้วย ดังนั้นเกิดอาการไม่เข้าใจอะไร ก็เปิดอกเปิดใจ ปรับความรู้สึกต่อกันไปเสียเถิด
5. อดทนแต่พองาม อย่ามาแนวนางเอกละครเชียว 'กรุณาอย่าฝืนยิ้ม ทั้งที่ใจสั่นครับ'เพราะแรงสั่นสะเทือนมันจะสะสม เพิ่มขนาดพลังทำลายล้างให้น่ากลัวขึ้นกันไปใหญ่ ติดใจเรื่องใด ก็รีบบอกกล่าว จะได้รีบร่วมแก้ไขปัญหากัน เรื่องไหนค้างคา ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ก็อย่าหวงแหนไว้ล่ะ การถาม ให้ได้คำตอบก็ควรทำครับ (อย่าถามด้วยอารมณ์ คำพูด ของการโมโหนะ) 6. วันพระ ละการโกหก ตั้งชื่อให้คล้องจองกันเฉยๆ แต่ความจริงต้องทำทุกวันนะครับ ถ้าพูดปด เพื่อถนอมน้ำใจ หรือเพื่อความสบายใจใดๆ ก็พอจะยกประโยชน์ให้ได้ แต่ถ้าเป็นการเพื่อปกปิดความผิด หรือเอาตัวรอด อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เราต้องแสดงความจริงใจต่อกันให้มากที่สุด มาโกหกปกปิด เอาตัวรอดไปวันๆ เดี๋ยวความรักจะไม่ยืดนะครับ เป็นวิธีดูแลความรักฉบับบอยส์นะครับ หนุ่มๆ สามารถเอาไปใช้เพื่อถนอมความรัก ในช่วงความรักผลิบานอย่างวาเลนไทน์ได้เลย
การแอบมีกิ๊กเนี่ย มันสนุกแค่ช่วงแรกเท่านั้นล่ะ พอหลวมตัวมากเข้าๆ มันนรกชัดๆ เรื่องท้าทาย อาจกลายเป็นเรื่องความรักตาย ก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าหาเรื่องให้งานเข้าดีกว่าครับ
3. คนนะ ไม่ใช่แมว การแสดงให้รู้ว่าเรากับเธอเป็นแฟนกันเนี่ย ได้อยู่แล้วครับ เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเธอ มากจนเกินไป เช่น โทรศัพท์ไปตามบ่อยๆ เกินไป ทำอะไรต้องมารายงาน (ดีนะ ไม่ให้เย็บรูปเล่มส่งด้วย) มีห่วงหวงกันบ้าง บางจังหวะ แต่ก็อย่าลืมว่า คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง การปล่อยให้เธอไป ลั๊นลา กับเพื่อนๆ บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งกังวลครับ ทำใจให้สบายๆ หรือจะไปเที่ยวกับเพื่อนของเราบ้าง ตามประสาผู้ชายแก้เหงา ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
4. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสีย... เดี๋ยวได้เลิกกัน เป็นปัญหาที่หลายคนแอบทำกันบ่อย แต่มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยรู้ไหม เพราะการเม้มปาก ไม่ยอมเอ่ยคำเนี่ย มันทำให้ปัญหาเก่าๆ ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วยังอาจเพิ่มปัญหาใหม่ๆ ในชีวิตรักของเราอีกด้วย ดังนั้นเกิดอาการไม่เข้าใจอะไร ก็เปิดอกเปิดใจ ปรับความรู้สึกต่อกันไปเสียเถิด
5. อดทนแต่พองาม อย่ามาแนวนางเอกละครเชียว 'กรุณาอย่าฝืนยิ้ม ทั้งที่ใจสั่นครับ'เพราะแรงสั่นสะเทือนมันจะสะสม เพิ่มขนาดพลังทำลายล้างให้น่ากลัวขึ้นกันไปใหญ่ ติดใจเรื่องใด ก็รีบบอกกล่าว จะได้รีบร่วมแก้ไขปัญหากัน เรื่องไหนค้างคา ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ก็อย่าหวงแหนไว้ล่ะ การถาม ให้ได้คำตอบก็ควรทำครับ (อย่าถามด้วยอารมณ์ คำพูด ของการโมโหนะ) 6. วันพระ ละการโกหก ตั้งชื่อให้คล้องจองกันเฉยๆ แต่ความจริงต้องทำทุกวันนะครับ ถ้าพูดปด เพื่อถนอมน้ำใจ หรือเพื่อความสบายใจใดๆ ก็พอจะยกประโยชน์ให้ได้ แต่ถ้าเป็นการเพื่อปกปิดความผิด หรือเอาตัวรอด อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เราต้องแสดงความจริงใจต่อกันให้มากที่สุด มาโกหกปกปิด เอาตัวรอดไปวันๆ เดี๋ยวความรักจะไม่ยืดนะครับ เป็นวิธีดูแลความรักฉบับบอยส์นะครับ หนุ่มๆ สามารถเอาไปใช้เพื่อถนอมความรัก ในช่วงความรักผลิบานอย่างวาเลนไทน์ได้เลย
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ
ทำไมคนส่วนใหญ่จึงพยายามหลีกหนีความล้มเหลว ? อาจเป็นเพราะคนเราชอบพูดถึงความล้มเหลวในทางที่ไม่ดี เช่น ถ้าคุณล้มเหลวสักครั้ง คุณก็จะล้มเหลวตลอดไป เป็นต้น ดังนั้นคนเราจึงพยายามหลีกหนีจากความล้มเหลว ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไม่เอาไหนโดยไม่รู้ตัว ถ้าอย่างนั้น เรามาดูคนที่เขาไม่เคยยอมแพ้ในชีวิต แม้จะล้มเหลวมาหลายครั้งก็ตาม
ช่วงที่เศรฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกา เขาคนนี้ดันกล้าที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ คือ เปิดปั๊มน้ำมัน เวลาต่อมาเขาก็เปิดร้านอาหารอีก ในขณะนั้นเป็นปี 1995 เขาอายุได้ 65 ปีแล้ว (น่านอนอยู่บ้านเลี้ยงหลาน) ธุรกิจของเขามีมูลค่าประมาณ 140,000 เหรียญ (นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ในขณะนั้น) แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก มีการสร้างถนนทางหลวงสายหลักห่างจากที่ของเขาประมาณ 7 ไมล์ ซึ่งทำให้รถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยวิ่งผ่านหน้าร้านของเขาอีก เขาจึงล้มละลายและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินสวัสดิการสังคม แต่แทนที่เขาจะยอมรับความล้มเหลวนี้ เขากลับนำเอาอาหารของเขา ซึ่งเป็นอาหารประเภทไก่ทอดเดินทางไปทั่วประเทศ ให้เจ้าของร้านต่าง ๆ ลองชิมไก่หมักเครื่องเทศ 11 ชนิดของเขา และลองขายดูโดยขอแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการขาย หลังจากนั้น 3 ปี ร้านอาหาร 2 แห่งจ่ายให้เขามากเท่าเงินสวัสดิการสังคม ที่เขาจะได้รับภายใน 7 ปี เขาคือใคร ? เขาไม่ใช่ใครอื่น Mr. Kentucky Fried Chicken นั่นเอง
เคล็ดลับของผู้พันแซนเดอร์ไม่ใช่ตำรับไก่ทอด แต่เป็นตำรับถ้ายังไม่ตายก็จะไม่ยอมแพ้มากกว่า ยังมีนักธุรกิจอีกจำนวนไม่น้อยที่ประสบกับความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่เคยแพ้ ! เพราะพวกเขามองว่าความล้มเหลว เป็นเพียงการถอยมาตั้งหลัก แล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้งต่างหากแล้วพวกเราล่ะ มองความล้มเหลวในมุมไหน
5 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสิว
สวัสดีจ้า
ห่างหายไปนานวันนี้เลยมีเรื่องสิวๆมาฝากจ้า
เนื่องจากสิวเป็นโรคที่พบได้บ่อย และบางครั้งอาจก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย อีกทั้งผู้ป่วยอาจมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิวได้ ซึ่งในเรื่องนี้ น.พ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง เปิดเผยในบทความเรื่อง “โรคสิวในเวชปฏิบัติ- ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว” ว่า “เนื่องจากโรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อย และก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยมักมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ความเชื่อที่ผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคสิว เช่น
1.กินช็อกโกแลตแล้วทำให้สิวขึ้น ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ยืนยันว่า อาหารพวกช็อกโกแลต มันฝรั่งทอด ถั่วทอด พิซซ่า อาหารมันๆ น้ำอัดลม ไอศกรีม เป็นตัวกระตุ้นให้สิวขึ้น เคยมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกไม่ให้กินช็อกโกแลตเลย อีกกลุ่มให้กินช็อกโกแลต ผลปรากฏว่า ไม่พบว่าอัตราการเกิดสิวในทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยยืนยันว่า อาหารบางชนิดกินแล้วสิวกำเริบก็ควรงดอาหารนั้นๆ เป็นรายๆ ไป
2.เพศสัมพันธ์ทำให้สิวดีขึ้น หรือทำให้สิวกำเริบ บางคนเชื่อว่า เพศสัมพันธ์ทำให้สิวดีขึ้น ความเชื่อนี้สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งยุโรปโบราณ ที่ว่าการแต่งงานทำให้สิวหายไปได้ แต่แท้ที่จริงผู้ที่แต่งงานแล้วอาจมีสิวหายไป เพราะวัยที่แต่งงานนั้นผ่านพ้นวัยรุ่น จึงเป็นวัยที่พบสิวน้อยลง ในทางตรงกันข้ามบางคนเชื่อว่า สิวจะกำเริบเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่เป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวหลั่งออกา จึงไม่เกี่ยวกับการเกิดสิว สรุปแล้วเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนทำให้สิวเลวลงหรือดีขึ้นแต่อย่างใด
3.แสงแดดทำให้สิวดีขึ้น แสงแดดอาจทำให้ดูเหมือนว่าสิวดีขึ้น เพราะแสงแดดทำให้ผิวไหม้แดงและคล้ำลง ช่วยบดบังรอยแดงรอยดำจากสิวอักเสบและรอยจากการอักเสบ แต่แท้ที่จริงแล้วนอกจากแสงแดดจะเป็นอันตรายต่อผิวหนังแล้ว แสงแดดยังทำให้ผิวระคายเคืองและสิวกำเริบ
4.ผิวมันทำให้สิวกำเริบ สิวไม่ได้เกิดจากผิวมัน แต่เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่บุท่อรูขุมขนที่หลุดออกตามธรรมชาติ ไม่ถูกขจัดสู่ผิวหนังด้านนอก ทำให้เกิดการตกค้าง เมื่อรวมกับไขมันที่ต่อมไขมันสร้างขึ้น จะก่อให้เกิดสิวอุดตัน ฉะนั้น ผิวมันเป็นอาการ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุของสิว
5.การรักษาสิวนั้น ยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี วัยรุ่นเป็นวัยที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าการรักษาสิวนั้น ยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี เช่น ถ้าใช้ยาทา 2.5% benzoyl peroxide แล้วได้ผล ถ้าเพิ่มความเข้มข้นเป็น 10% ก็น่าจะได้ผลมากขึ้นอีก แต่ที่จริงแล้วถ้ายาความเข้มข้นต่ำได้ผลดี ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงขึ้น นอกจากจะเป็นการเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น การระคายเคืองมากขึ้นตามมาได้
ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับสิวยังมีอีกมาก แต่อันที่จริงแล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวนั้นคือ ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก จึงควรล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยๆ แม้ว่าจะมีผิวหนังสะอาดที่สุด โดยการล้างหน้าฟอกสบู่เสมอๆ ก็อาจเป็นสิวได้ ในทางตรงกันข้ามบางคนที่ใช้เพียงน้ำเปล่าล้างหน้าเท่านั้นกลับไม่เป็นสิวเลย สิวหัวดำที่เห็นเป็นจุดดำนั้นไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกไปอุดตัน แต่เกิดจากไขมันอุดตันในท่อต่อมไขมันมีเม็ดสีเมลานินมาสะสม ความเชื่อที่ว่า สิ่งสกปรกทำให้เกิดสิว ทำให้ผู้เป็นสิวหลายรายล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป และใช้สบู่ที่แรงหรือสบู่ยา หากใช้บ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหน้าอักเสบ ระคายเคือง และสิวกำเริบมากขึ้นโลชั่นเช็ดหน้าป้องกันสิวบางตัวพยายามเน้นว่า สิ่งสกปรกทำให้เกิดสิว เพราะเมื่อใช้สำลีชุบโลชั่นเช็ดใบหน้าแล้ว จะได้คราบสีดำติดสำลีออกมา ที่จริงแล้วคราบดำนั้นเป็นผิวหนังชั้นขี้ไคลส่วนที่ตายและพร้อมที่จะหลุดลอกออกมาโดยรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีใบหน้าสะอาดเพียงใด หากใช้โลชั่นที่มีแอลกอฮอล์ผสมเช็ดหน้า ย่อมได้คราบดำติดมาทุกคน แท้จริงแล้วสิวไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกหรือไขมันที่อยู่บนผิว โดยทั่วไปแนะนำให้ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนวันละ 2 ครั้ง และซับหน้าให้แห้ง ไม่ควรเช็ดหน้าแรง เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้
อย่าลืมดูแลผิวให้ดีๆน้า
เด่วไม่สวยไม่หล่อ...
ห่างหายไปนานวันนี้เลยมีเรื่องสิวๆมาฝากจ้า
เนื่องจากสิวเป็นโรคที่พบได้บ่อย และบางครั้งอาจก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย อีกทั้งผู้ป่วยอาจมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิวได้ ซึ่งในเรื่องนี้ น.พ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง เปิดเผยในบทความเรื่อง “โรคสิวในเวชปฏิบัติ- ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว” ว่า “เนื่องจากโรคสิวเป็นโรคที่พบบ่อย และก่อความกังวลให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยมักมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคสิว ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ความเชื่อที่ผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคสิว เช่น
1.กินช็อกโกแลตแล้วทำให้สิวขึ้น ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ยืนยันว่า อาหารพวกช็อกโกแลต มันฝรั่งทอด ถั่วทอด พิซซ่า อาหารมันๆ น้ำอัดลม ไอศกรีม เป็นตัวกระตุ้นให้สิวขึ้น เคยมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกไม่ให้กินช็อกโกแลตเลย อีกกลุ่มให้กินช็อกโกแลต ผลปรากฏว่า ไม่พบว่าอัตราการเกิดสิวในทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยยืนยันว่า อาหารบางชนิดกินแล้วสิวกำเริบก็ควรงดอาหารนั้นๆ เป็นรายๆ ไป
2.เพศสัมพันธ์ทำให้สิวดีขึ้น หรือทำให้สิวกำเริบ บางคนเชื่อว่า เพศสัมพันธ์ทำให้สิวดีขึ้น ความเชื่อนี้สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งยุโรปโบราณ ที่ว่าการแต่งงานทำให้สิวหายไปได้ แต่แท้ที่จริงผู้ที่แต่งงานแล้วอาจมีสิวหายไป เพราะวัยที่แต่งงานนั้นผ่านพ้นวัยรุ่น จึงเป็นวัยที่พบสิวน้อยลง ในทางตรงกันข้ามบางคนเชื่อว่า สิวจะกำเริบเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่เป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวหลั่งออกา จึงไม่เกี่ยวกับการเกิดสิว สรุปแล้วเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนทำให้สิวเลวลงหรือดีขึ้นแต่อย่างใด
3.แสงแดดทำให้สิวดีขึ้น แสงแดดอาจทำให้ดูเหมือนว่าสิวดีขึ้น เพราะแสงแดดทำให้ผิวไหม้แดงและคล้ำลง ช่วยบดบังรอยแดงรอยดำจากสิวอักเสบและรอยจากการอักเสบ แต่แท้ที่จริงแล้วนอกจากแสงแดดจะเป็นอันตรายต่อผิวหนังแล้ว แสงแดดยังทำให้ผิวระคายเคืองและสิวกำเริบ
4.ผิวมันทำให้สิวกำเริบ สิวไม่ได้เกิดจากผิวมัน แต่เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่บุท่อรูขุมขนที่หลุดออกตามธรรมชาติ ไม่ถูกขจัดสู่ผิวหนังด้านนอก ทำให้เกิดการตกค้าง เมื่อรวมกับไขมันที่ต่อมไขมันสร้างขึ้น จะก่อให้เกิดสิวอุดตัน ฉะนั้น ผิวมันเป็นอาการ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุของสิว
5.การรักษาสิวนั้น ยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี วัยรุ่นเป็นวัยที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าการรักษาสิวนั้น ยิ่งใช้ยาแรงยิ่งได้ผลดี เช่น ถ้าใช้ยาทา 2.5% benzoyl peroxide แล้วได้ผล ถ้าเพิ่มความเข้มข้นเป็น 10% ก็น่าจะได้ผลมากขึ้นอีก แต่ที่จริงแล้วถ้ายาความเข้มข้นต่ำได้ผลดี ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงขึ้น นอกจากจะเป็นการเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น การระคายเคืองมากขึ้นตามมาได้
ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับสิวยังมีอีกมาก แต่อันที่จริงแล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวนั้นคือ ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก จึงควรล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยๆ แม้ว่าจะมีผิวหนังสะอาดที่สุด โดยการล้างหน้าฟอกสบู่เสมอๆ ก็อาจเป็นสิวได้ ในทางตรงกันข้ามบางคนที่ใช้เพียงน้ำเปล่าล้างหน้าเท่านั้นกลับไม่เป็นสิวเลย สิวหัวดำที่เห็นเป็นจุดดำนั้นไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกไปอุดตัน แต่เกิดจากไขมันอุดตันในท่อต่อมไขมันมีเม็ดสีเมลานินมาสะสม ความเชื่อที่ว่า สิ่งสกปรกทำให้เกิดสิว ทำให้ผู้เป็นสิวหลายรายล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป และใช้สบู่ที่แรงหรือสบู่ยา หากใช้บ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหน้าอักเสบ ระคายเคือง และสิวกำเริบมากขึ้นโลชั่นเช็ดหน้าป้องกันสิวบางตัวพยายามเน้นว่า สิ่งสกปรกทำให้เกิดสิว เพราะเมื่อใช้สำลีชุบโลชั่นเช็ดใบหน้าแล้ว จะได้คราบสีดำติดสำลีออกมา ที่จริงแล้วคราบดำนั้นเป็นผิวหนังชั้นขี้ไคลส่วนที่ตายและพร้อมที่จะหลุดลอกออกมาโดยรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีใบหน้าสะอาดเพียงใด หากใช้โลชั่นที่มีแอลกอฮอล์ผสมเช็ดหน้า ย่อมได้คราบดำติดมาทุกคน แท้จริงแล้วสิวไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกหรือไขมันที่อยู่บนผิว โดยทั่วไปแนะนำให้ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนวันละ 2 ครั้ง และซับหน้าให้แห้ง ไม่ควรเช็ดหน้าแรง เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้
อย่าลืมดูแลผิวให้ดีๆน้า
เด่วไม่สวยไม่หล่อ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)