วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
รู้ไว้ นิสัย 10 อย่างที่ทำให้สมองพัง
แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอยังทำร้ายสมองด้วยเช่น
1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
เพื่อนๆ ดูแลตัวเองกันด้วยนะ
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
มหัศจรรย์ จาก ปลาทู
ปลาทูคลุกข้าวเคล้าน้ำปลา น้ำพริกปลาทูอันเลื่องชื่อ ต้มยำปลาทู เมี่ยงปลาทู ปลาทูต้มกะทิ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นอาหารอร่อยทรงคุณค่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น วัยทำงาน และคนชรา
นั่นเป็นเพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของปลาทูที่เปี่ยมไปด้วย "วิตามินดี" ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าลำไส้ เพื่อนำไปสร้างเสริมและซ่อมแซมกระดูกและฟัน ทั้งยังช่วยรักษาระบบประสาทและการทำงานของหัวใจให้อยู่ในสภาพที่ดีสม่ำเสมอ และยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด ช่วยควบคุมแคลเซียมไปยังส่วนต่างๆ อย่างเพียงพอ ทั้งยังมีไอโอดีนส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ
ปลาทูยังมีกรดอะมิโนโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงกว่าปลาชนิดอื่น โดยเฉพาะไลซีน ที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และทรีโอนีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
ที่สำคัญปลาเพื่อนรักตัวนี้ยังมี "โอเมก้า 3" ที่ทรงคุณค่ากับร่างกายมากมาย
ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antiaging Medicine กล่าวว่า "โอเมก้า 3" เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว ซึ่งจากการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในปลานั้น จะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์สร้างสมดุล ปรับระดับความข้นของเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเป็นการช่วยลดอัตรา การเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยบำรุงตับอ่อนเลี่ยงความเสี่ยงที่จะ ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
นอกจากนี้มีการพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยให้ระบบประสาทและสมองดีขึ้น ป้องกันและแก้ไขโรคความจำเสื่อม หรือโรคที่สมองไม่สั่งงาน ช่วยเสริมสภาวะจิตใจ สุขภาพสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด
คุณสมบัติอันเต็มเปี่ยมนี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ใน "น้ำมันปลา" หรือน้ำมันที่สกัดจากปลาที่อยู่ในเขตหนาว แซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาทะเลน้ำลึก อย่างปลาโอ ปลาซาบะ ปลาทูน่า รวมไปถึงปลากะพง และ "ปลาทู" ยอดฮิตของเราด้วย
เนื้อปลาทู 100 กรัม จะมีสารโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ 2-3 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องการได้รับโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมเท่านั้น
"ผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีควรจะหาอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า 3 และหาน้ำมันปลารับประทานได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยแห่งการ เจริญเติบโต และที่สำคัญในวัยนี้โอเมก้า 3 จะช่วยบำรุงสมอง จนถึงวัยสูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ โอเมก้า 3 ก็ช่วยปรับสมดุล ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้"
หากผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงโดยอาศัยประโยชน์จากปลาทะเลน้ำลึกแล้ว ปลาทูถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
>>นี่คือ มหัศจรรย์ปลาทู เพื่อนสนิทคนไทย
กินปลาทูกันเถอะเพื่อนๆ...
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
อีกมุมของการศึกษา "เด็กไทยไม่โง่" แล้วอารายล่ะที่ทำให้????
ศ.น.พ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า เราควรเลิกสนใจเรื่องหงส์แดง หงส์ดำกันเสียที และรัฐบาลควรหันมาใส่ใจเรื่องการศึกษา ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือการปฏิรูปการศึกษาระยะที่ 2 หมายถึงปฏิรูประบบการศึกษาและปฏิรูประบบการเรียนรู้ โดยต้องดำเนินการดังนี้
- ลดการเรียนแบบท่องจำจากหนังสือภายในห้องเรียนให้เหลือน้อยลงที่สุด
- ให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ วิถีชีวิต ชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด
- เรียนรู้จากสื่อ เช่น เอกสาร อินเทอร์เน็ต และพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสื่อก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย
- เรียนตามความสามารถของแต่ละบุคคล ไม่ต้องเรียนเหมือนกัน
- มีการศึกษา วิจัยให้ลึกซึ้งขึ้น โดยการฝึกบันทึก นำเสนอในกลุ่ม ตั้งคำถามและหาคำตอบ ซึ่งการวิจัยจะทำให้เกิดกระบวนการศึกษา แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการทำวิจัยจำนวนน้อย
- ต้องศึกษาโดยรู้จักเห็นจิตใจและมีสำนึกนึกคิดในตนเองเพราะหากเก่งโดยไม่รู้ใจตนเองก็ง่ายต่อการหลงผิด
ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กอัจฉริยะ คณะศึกษาศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กล่าวว่า จากการวิจัยพบว่าในทุกโรงเรียนและเกือบทุกชั้นเรียนมีเด็กอัจฉริยะประมาณร้อยละ 1 ของเด็กทั้งหมด ซึ่งหากมีระบบส่งเสริมสนับสนุนที่ดี เราก็น่าจะมีอัจฉริยะบุคคลระดับไอน์สไตน์ได้ แต่ระบบปัจจุบันไม่เอื้อให้เด็กฉายแววออกมา นอกจากนี้ยังพบว่ามีครูผู้สอนจำนวนหนึ่งที่เกิดความรู้สึกอิจฉาเด็ก โดยเห็นว่าในเมื่อเด็กเก่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาถาม ซึ่งตรงนี้ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง “ขณะนี้เราได้ทำคู่มือสำรวจแววความสามารถพิเศษขึ้นมาใหม่ ซึ่งครูสามารถนำไปสำรวจแววความสามารถพิเศษในเด็กนักเรียนได้ ส่วนคู่มือที่จัดทำก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่คู่มือในการทดสอบเด็ก แต่เป็นการรวบรวมบุคลิกลักษณะของมนุษย์ ซึ่งมีแววความสามารถต่าง ๆ จำนวน 10 แวว ไว้ให้ครูใช้สังเกตเด็กในเบื้องต้น ซึ่งมีการนำไปใช้ผิดกันมาก แต่คู่มือใหม่นี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า” ผศ.ดร.อุษณีย์กล่าว...
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
อายุ 3 ประภท
เราเคยได้ยินคำว่าอายุ เป็นเพียงตัวเลข มักจะตีความไปในทางที่ม้จะมีอายุเพิ่มขึ้น แต่วัยไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม บางคนนั่งดูกตัวเองในกระจกง มีความรู้สึกว่าปีนี้แก่ขึ้นมาก หรือบางคนไม่รู้ถึงความแตกต่าง จากที่กล่าวมาพอจะประมวลได้ว่าอายุของคนมี 3 แบบ คืออายุตามปฏิทิน อายุตามชีววิทยา และอายุตามจิตวิทยา
สำหรับอายุตามปฏิทินมีความคงตัวตามเวลาที่ผ่านไป เป็นอายุที่อาจผิดพลาด ไม่น่าเชื่อถือเมื่อคิดตามอายุตามชีววิทยาและอายุตามจิตวิทยา คนที่อายุ 50 ปีอาจดูเหมือนกับคนอายุ 30 ปี แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มองคนอายุ 30 ปีเหมือนกับคน 50 ปี อายุทางชีววิทยาสามารถที่จะบอกได้ว่าเวลาส่งผลให้อวัยวะ เนื้อเยื่ออย่างไร ที่สามารถนำไปเปรียบเทียบกันได้ ใครฟิต เสื่อมถอยมากกว่ากันขณะที่อายุตามปฏิทินเท่ากัน อาจกล่าวได้วา เนื้อเยื่อและอวัยวะของแต่ละคนแก่หรือเสื่อมลงตามตารางเวลาของตัวเอง นั้นคือไม่เท่ากันในแต่ละคน (แล้วแต่ผลกรรมจากการปฏิบัติ) คนที่ออกกำลังกายอยู่เสมออวัยวะหลายส่วนที่ยังทำงานได้ดีกว่าคนในวัยเดียว กัน
สำหรับอายุตามจิตวิทยา เป็นอายุตามความรู้สึกของแต่ละคน มีความสลับซับซ้อน เช่นเดียวกับอายุทางชีววิทยาที่ไม่มีใครที่มีอายุทางจิตวิทยาเหมือนกัน เพราะไม่มีใครที่จะสั่งสมประสบการณ์มาเหมือนกัน เพราะการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในเรื่องเดียวกันก็ส่งผลต่อความรู้สึกต่างกัน สำหรับความรู้สึกต่อความแก่ นั่นถ้าเราคิดว่าแก่รู้สึกว่าแก่ก็อาจส่งผลให้แก่จริง หรือเมื่อรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า เคลียด ก็ส่งผลให้แก่และตายเร็วได้
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ทำไม1โหลต้องมี12ชิ้น
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความสำคัญของการรักษาคำพูด
"หนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จต้อง รักษาคำพูด รักษาสัญญา"
คำมั่นสัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ การไม่รักษาคำพูดอาจทำให้เสียมิตรที่กลายไปเป็นศัตรู นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวไว้ว่า “หนทางที่ดีที่สุดที่จะรักษาคำพูด ก็คือ อย่าพูดให้สัญญากับใคร” ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง หากเราลองได้พิจารณาคำพูดนี้อย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกของตัวเองนั้น เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "การรักษาสัญญาหรือคำพูดเป็นนิสัยที่ควรฝึกฝนให้ติดตัว เพราะเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความสำเร็จที่มั่นคงในชีวิตได้" หากเราต้องติดต่อกับใครแล้วอยากให้เขาเชื่อใจ ไว้ใจอยากทำงาน อยากให้เค้ามีความรู้สึกดีดีให้ เราต้องรักษาสัญญา รักษาคำพูด
ความบาดหมาง ความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นไม่ว่าจะในครอบครัว หรือในช่วงชีวิตประจำวัน อาจมีที่มาจากเรื่องของการไม่รักษาคำพูดก็ได้ เช่น สามีรับปากอาสาว่าจะหาซื้อของมาให้ภรรยา ทำให้ภรรยาคาดหวัง ณ ขณะนั้นและเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ที่สามีรับอาสาจะซื้อของที่เธอกำลังอยากได้มาให้ แต่แล้วผ่านไปนับเดือน ภรรยาก็ยังไม่ได้รับของจากสามีเลย ซ้ำเมื่อทวงถามก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่ว่าง ทำให้ภรรยาเกิดอาการน้อยอก น้อยใจ ที่สามีไม่รักษาคำพูดและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอเลย ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ที่รับปากลูกว่าจะให้โน่น ให้นี่ ถ้าลูกเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่ง หรือเมื่อลูกทำตามที่พ่อแม่ต้องการ แต่พอถึงเวลากลับเมินเฉยไม่พูดถึง เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจใคร หรืออาจเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ เชื่อใจ เพราะคิดว่าการพูดปดเป็นเรื่องปกติที่เคยเห็นพ่อแม่ทำกับตน
หลักการง่ายๆ ของการรักษาคำพูด ก็คือ
- คิดไตร่ตรองก่อนว่าสามารถทำได้จึงรับปากหรือให้สัญญา ต้องรอบคอบ และไม่รับปากไปด้วยความเกรงใจ
- คำนึงถึงจิตใจของคนที่เราพูดด้วย ต้องรักษามิตรภาพ และความสัมพันธ์ด้วยการรักษาสัญญา
- ให้คุณค่าในการระวังรักษาคำพูด คิดก่อนพูด วางแผนก่อนทำ ต้องมั่นใจว่าทำได้
- พยายามรักษาคำพูดอย่างสุดความสามารถ พูดจริง ทำจริงอย่างที่พูด โดยฉพาะคนที่เป็นผู้นำที่อยากให้คนเชื่อถือ
- หากเรารักษาคำพูดไม่ได้ ต้องยอมรับผิด และกล้ารับความจริง ไม่ควรปกป้องตัวเอง หรือหาข้อแก้ตัวให้พ้นผิดอย่างน้ำขุ่นๆ
จะเห็นได้ว่า เรื่องง่ายๆ ธรรมดาที่เราท่านอาจมองข้ามไป ลองดูสิคะว่าตัวอย่างรอบตัวที่เราเห็น เวลาคนอื่นไม่รักษาคำพูดหรือสัญญาที่ให้ไว้กับเรา เรารู้สึกอย่างไร ดังนั้นต่อไปเราก็ควรระมัด ระวังในเรื่องนี้มากขึ้น แม้แต่เวลานัดกับใคร ถ้าเราเป็นคนตรงต่อเวลาสม่ำเสมอ คนที่นัดหมายกับเราเขาย่อมเกรงใจ แล้วต้องมาตามนัดด้วยเช่นกัน เวลาอยู่ในที่ทำงานถ้าเราต้องทำงาน ประสานงานกับคนอื่น รับปากที่จะส่งมอบงานให้เขาวันใด ก็ต้องไม่ผิดคำพูด จึงจะทำให้เขาเชื่อถือไว้วางใจได้ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือเจ้านายของเราเอง
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Microsoft Visual C++
part1
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=27D967AF808MLIALRAFXDPH6GGDZU5
part2
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=27D967AF81I5DEGWBC6I7767LTVYY4
Demon tools มีวิธีใช้ให้แล้วเรียบร้อย ^.^
อันนี้เป็นไฟล์ iso นะ ต้องใช้โปรแกรม Demon tools ทำเป็นไดร์เสมือน
ลองใช้ดูนะ
จริงหรือไม่ ! เคี้ยวนานทำให้ฉลาด
"อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้วปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์ "
การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ
ผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้
การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ
การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดอาการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหารนอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย
การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
เมื่อทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว ลองหันกลับมามองตัวเองหรือคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ชอบเคี้ยวข้าวเร็วยังไม่ทันละเอียดก็รีบกลืน ผลลัพธ์ที่ตามมามีให้เห็นมากไม่ว่าเรื่องของท้องผูก อาหารไม่ย่อย ร้องโอดโอยกันยกใหญ่
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีเวลาเพื่อนๆก็เคี้ยวกันให้นานหน่อยนะ
อันตรายจาก...กระจก
ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็มีวิธีทดสอบ กระจกสอง ด้าน แบบง่ายๆ สำหรับสาวๆ ให้จดจำและ นำไปใช้ได้นะคะ การจะพิสูจน์กระจกสองด้าน โดยการมองด้วยตาเปล่านั้น เราไม่สามารถทำได้ค่ะ ซึ่งสาวๆ สามารถใช้วิธี ทดสอบ ด้วยปลายเล็บของคุณ นี่แหละค่ะ
วิธีปฏิบัติก็คือ ชี้ปลายเล็บไปที่ กระจก ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณ กับเงาที่สะท้อนในกระจกนั้น มีช่องว่างเล็กๆ คั่นกลางอยู่ แสดงว่านั่นคือกระจก ที่ใช้สำหรับส่องจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าระหว่างปลาย เล็บของคุณ ชิดติดกับเงา ที่สะท้อนโดยตรงแล้ว นั่นหล่ะค่ะ กระจกสองด้านของจริง เลยหล่ะค่ะ เพราะฉะนั้น สาวๆ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ Virtually Raped ของพวกบ้ากาม ถ้ำมอง เวลาไปเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่อื่น ก็ ควรสละเวลา ไม่ถึง 10 วินาที กับการทดสอบด้วยปลายเล็บนะคะ วิธีทดสอบนี้ ได้ผล จริงๆ ค่ะ
เชื่อเถอะ ลองไปจิ้มกระจกที่ห้องดูก็ได้นะคะ...เราลองแล้วกระจกส่องธรรมดาจะมีช่องว่างจริงๆ แต่ถ้าไปตามห้องน้ำที่อื่น แล้วเล็บเราติดกัน....!!!!!!!!!
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วิธีการง่ายๆลดโลกร้อน
วิธีการที่(คิดว่า)เพื่อนๆยังไม่รู้กันนะครับ ^.^
สำคัญที่สุด..
เพื่อนๆต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะช่วยหยุดโลกร้อน
จำให้ขึ้นใจต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
และเลือกใช้พลังงานสะอาด มาดูกันเล้ย...
§ อาบน้ำด้วยฝักบัว
ประหยัดกว่าตักอาบหรือใช้อ่างอาบน้ำถึงครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 10 นาที
ปิดน้ำขณะแปรงฟัน ประหยัดได้เดือนละ 151 ลิตร
§ใช้น้ำร้อนให้น้อยลง
การทำน้ำร้อนใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง
จะลดคาร์บอนไดออกไซด์์ได้ 159 กิโลกรัมต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็นจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 227 กิโลกรัม
§ใช้ตู้เย็นแบบ 2 ประตู
ขนาดความจุ 400 ลิตร ตั้งอุณหภูมิที่ 3-5 องศา และ -17 - -15 องศาในช่องแช่แข็ง มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟมากที่สุด
§ใช้แล็บท็อปจอแบน
ประหยัดไฟมากกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะถึง 5 เท่า จำไว้ screen server
และหมวดสแตนบายด์ไม่ได้ช่วยประหยัดไฟ พลังงานที่เสียไปเท่ากับซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ได้ 1 เครื่อง
และพริ้นเตอร์เลเซอร์ประหยัดพลังงานมากกว่าอิงค์เจ็ท
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ไขรหัสเลขบัตรประชาชน
วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ข้อมูลสิ่งแวดล้อม
อาจารย์ขอแนะนำ Website ฐานข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมนะคะ
แล้ว เจอกัน ร่วมเรียนรู้ด้วยกันนะคะ
อาจารย์จงดี
http://www.pcd.go.th/info_serv/database.html
CVS. โรคร้ายจากคอมพิวเตอร์
นี่แหละอาการ CVS Computer Vision Syndrome หรือ CVS
คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งมักจะเกิดอาการดังนี้ค่ะ...-
- เมื่อยล้าในลูกตา
- ปวดเบ้าตา
- มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา ตามัวหรือเห็นภาพซ้อน รู้สึกไม่สบายตา
- ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแห้ง แสบตา
- มีรอยดำคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา
นอกจากนี้อาจจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลังอีกด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะพบในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันเป็นประจำค่ะ
สาเหตุ CVS
อาการปวดตาและแสบตาเกิดขึ้นจากการที่ตาแห้งและกล้ามเนื้อตาเกร็งตัวเนื่องจากลืมกะพริบตาเพราะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป สามารถแก้ไขได้โดยกะพริบตาบ่อยๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าปวดตาหรือแสบตา อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาบ้างก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดตาและแสบตาได้เช่นกัน ส่วนอาการตามัวหรือปวดศีรษะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อพักสายตาแล้วส่วนใหญ่อาการก็จะดีขึ้นค่ะ
นอกจากนี้แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ และการที่แสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแสงสว่างในห้องไม่เหมาะสม ทำให้ต้องเพ่งสายตาทำงานในระยะใกล้เป็นเวลานานๆ ก็ทำให้กล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการเพ่งมองเกิดตึงและเกร็งก็จะนำมาซึ่งอาการปวดตาและปวดศีรษะได้ค่ะ ส่วนอาการอื่นๆ มีผลจากการวางคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้องนั่งในท่าผิดปกติเป็นระยะเวลานาน จนเกิดปัญหากับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดที่กระดูกข้อมือ ปวดไหล่ ปวดคอ รวมถึงปวดหลังได้ค่ะ
การป้องกัน CVS คุกคาม
- วางจอคอมพิวเตอร์ให้มีระยะห่างจากระดับสายตา 20 – 24 นิ้ว และวางอยู่ระดับที่ต่ำกว่าระดับสายตา 10 – 20 องศา ซึ่งเป็นมุมในการมองคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้สบายตาที่สุด
- ปรับแสงสว่างเหมาะสม เริ่มต้นที่ความสว่างของห้องเพียงพอ ส่วนความสว่างบริเวณรอบจอและความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับให้สว่างเท่าๆ กับความสว่างของห้อง เพื่อไม่ให้แสงจ้ามากเกินไป
- ใช้แผ่นกรองแสงเพื่อช่วยลดแสงสะท้อนติดที่หน้าจอ และจัดแสงภายในห้องทำงานไม่ให้มีแสงสะท้อนมาที่จอคอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้แสงสว่างสะท้อนเข้าตามากกว่าปกติ และแสงสะท้อนยังทำให้หน้าจอสว่างจนมองเห็นไม่ชัดเจนจึงต้องเพ่งสายตามากเกินไปค่ะ
- ขนาดของตัวหนังสือบนหน้าจอควรจะมีขนาดประมาณ 3 เท่าของขนาดตัวหนังสือที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้จากจอคอมพิวเตอร์ในระยะเดียวกัน ส่วนสีของตัวหนังสือควรเป็นสีดำบนพื้นสีขาวค่ะ
- ฝึกนิสัยกะพริบตาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีการคลายกล้ามเนื้อ และพักสายตาที่ใช้ในการมองใกล้โดยให้มองไปในที่ไกลๆ นานประมาณ 1-2 นาที อย่างน้อย 1-2 ครั้งทุกชั่วโมง และหยุดพักการทำงานประมาณ 5-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง
- หากสายตายาว ควรใช้แว่นสายตาชนิด Progressive lens ซึ่งมีช่วงการมองหรือจุดโฟกัสหลายระดับ โดยเฉพาะที่สำคัญคือระยะกลาง (intermediate zone) ซึ่งเป็นตำแหน่งของจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ควรเลือกเลนส์แว่นตาแบบเคลือบสารที่ป้องกันการสะท้อนเพื่อช่วยลดการสะท้อนของแสงเข้าตาค่ะ
- สำหรับปัญหาปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลัง นอกจากจะแก้ด้วยการจัดระดับจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมแล้ว ท่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องก็มีความสำคัญ โดยควรนั่งตัวตรง เอนหลังไปด้านหลังเล็กน้อย แขนทั้งสองในขณะกดแป้นพิมพ์ให้อยู่ในแนวขนานกับพื้น ส่วนเท้าควรวางราบกับพื้นค่ะ
ยังงัยก็ดูแลตัวเองกันด้วยน๊า....
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้นนะ ^^ (ตอนที่1)
ผู้ชายประเภทที่ใกล้สูญพันธุ์
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ
2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้า
กับชีวิตได้บ้าง
5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มัก
จะลงเอยด้วยความสำเร็จ นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย
เพื่อนๆคนไหนอยากจะเป็นคนเก่งก็ลองเอาวิธีที่เราแนะนำไปทำดูนะ แล้วจะรู้ว่าเราก็เก่งได้ไม่แพ้ใคร
from I_joe
วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
หนังสั้น น่าดู
ดูแล้วได้ฝึกภาษา อังกฤษด้วย (เพราะไม่มีSub) แต่ดูแล้วเข้าใจแน่นอนครับ ^.^
http://www.leonardodicaprio.org/files/videos/globalwarning.html?q=whatsimportant/globalwarming_movie01.htm
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์คืออะไร
วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์คือการศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิสัมพันธ์ของฮาร์ดแวร์และซอพท์แวร์ ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์มุ่งเน้นในส่วนต่างๆของคอมพิวเตอร์เช่น ดิสค์ไดร์ฟ หรือวงจรหน่วยความจำ นักเขียนโปรแกรม (computer programmer) ที่พัฒนาโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
เทอม คอมพิวเตอร์ นั้นยากที่จะกำหนด ครั้งหนึ่งเคยกำหนดเหมือนกับเครื่องจักรใดๆ ที่จัดการข้อมูล แม้แต่เครื่องคำนวนหรือเครื่องคิดเลขก็ใช้คำนี้เรียกได้ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปคอมพิวเตอร์กำหนดให้เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูล แบบดิจิทัลหรือแอนะล็อก และประมวลผลข้อมูลให้เป็นตัวเลขหรือกราฟิก เพื่อเปรียบเทียบผู้ใช้จากเครื่องคิดเลขโดยการป้อนตัวเลขแต่ละตัวและฟังก์ ชั่นคณิตศาสตร์ด้วยมือ ในกระบวนการที่ละขั้นทีละขั้น ขณะที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลทั้งหมดโดยใช้โปรแกรมที่ฝังตัวอยู่ภายใน (หรือฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์ที่สร้างไว้อยู่ในโปรแกรม) โดยวิธีนี้จะขจัดขั้นตอนที่ทำด้วยมือออกไปเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์
คอมพิวเตอร์ใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทำงานด้วยจุด ประสงค์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น จุดประสงค์ทั่วไปทางการค้า เป็นเครื่องรับแปลงข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นเพื่อรับข้อมูล เป็นเครื่องควบคุมกระบวนการคอมพิวเตอร์ (คือคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมกระบวนการเช่นที่ใช้ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์) คอมพิวเตอร์บางแบบนั้นไม่ได้โตกาว่าเล็บหัวแม่มือ (ในลักษณะชิปคอมพิวเตอร์) และที่ใช้คอมพิวเตอร์ในงานเฉพาะทาง ที่โปรแกรมการทำงานไว้ภายในเครื่องจักรอื่น (ตัวอย่างเช่นภายในเครื่องเตาไมโครเวฟ หรือในเครื่องยนต์ของรถยนต์) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีกำลังสามารถมากที่สุด) ซึ่งมักจะเรียกว่า ซุปเปอร์ไมโครคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการนิยามจริงๆของคำนี้
คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ วิวัฒนาการไปเนื่องจากความก้าวหน้าสำคัญๆ หลายอย่างทางเทคโนโลยี ที่สำคัญเช่นพยายามลดการใช้พลังงานไฟฟ้าให้ลดลง การพัฒนาวงจรรวมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในขนาดที่เล็กลง ที่บรรจุทรานซิสเตอร์ลงไปได้มากขึ้น การปรับปรุงความเร็วในการทำงานและความจุหน่วยความจำที่สูงขึ้น และด้วยเทคโนโลยีวิดีโอทำให้เป็นไปได้ที่จะให้คอมพิวเตอร์แสดงผลการทำงาน ต่างๆ นอกจากนี้แล้วคอมพิวเตอร์สารขั้นสูงเป็นองค์ประกอบ ทั้งโลหะที่เป็นตัวนำ ซิลิกอนและสารแม่เหล็ก ที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบหน่วยความจำ
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Earth Day
แต่ มีใครไหมที่รู้จัก Earth Day วันสำคัญของนักสิ่งแวดล้อม (คนเขียนก็เพิ่งรู้จักไม่นาน --")
ดังนั้น บทความนี้จะขอลงเกี่ยวกับเรื่อง Earth Day ก็แล้วกันนะครับ
วันคุ้มครองโลก (Earth Day) ถือเป็นวันสำคัญของขบวนอนุรักษ์ธรรมชาติทั่วโลก ตรงกับ
วันที่ 22 เมษายน ของทุกปี วันคุ้มครองโลกถือกำเนิดในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 27 ปีก่อน
ในวันที่ 22 เมษายน 2513 นักอนุรักษ์ธรรมชาติกลุ่มหนึ่งได้จัดให้มีการแสดงพลังครั้งใหญ่ เพื่อปลุกเร้า
จิตสำนึกเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันยิ่งถูกมนุษย์ทำลาย ในการแสดงพลังครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่า 20 ล้านคน
และปรากฏขึ้นตามเมืองใหญ่ ๆ เกือบทั้งสหรัฐ หลังจากนั้นความห่วงใยปัญหาสภาพแวดล้อมของสหรัฐก็เพิ่มพูนขึ้น
มีการออกกฎหมายควบคุมการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติ
สำหรับประเทศไทยเริ่มพูดถึงวันคุ้มครองโลกครั้งแรก เมื่อปี 2533 โดยเฉพาะหลังจากสืบ นาคะเสถียร
หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกระทำอัตวินิบาตกรรม และเมื่ออาจารย์และนักศึกษา
ร่วมกัน 16 สถาบันได้จัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้นเพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่า อนุรักษ์ และตระหนักถึงวิกฤตการ
ทำลายสัตว์ป่าและป่าไม้ประเทศไทย ยังมีการจัดงานเพื่อหาทุนเข้ามูลนิธิสืบนาคะเสถียร เพื่อใช้ในการปกป้องรักษาผืนป่า ที่เป็นมรดก
ของโลกอีกด้วย
น่าแปลกใจนะ Earth Day มีมานานแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้จักเลย
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 20 หัวข้อ
1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
เป็นงัยจ๊ะ รู้กันหมดทุกข้อหรือยัง น่าทึ่งป่ะหล่ะ