วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ข้อดีของเหล้าที่คุณยังไม่รู้

1. คนขายเหล้ารวยขึ้น พนักงานโรงงานเหล้ามีรายได้

2. หมอมีงานทำมากขึ้น

3. บริษัทยาและเครื่องมือแพทย์มีรายได้มากขึ้น เพราะว่าคนเป็นตับแข็ง เสี่ยงที่จะเกิดเลือด ออกในกระเพาะมากขึ้น อุปกรณ์และยาเหล่านี้ครองมูลค่าตลาดหลายล้าน

4. เฮียปอ และตำรวจมีงานมากขึ้น

5. หนังสือพิมพ์อยู่ได้เพราะข่าวที่เป็นผลพวงจากเหล้านี่แหละ ปล้นฆ่าข่มขืน เกินครึ่งฉบับ

6. หนังสือเกี่ยวกับเหล้ามีมากมายพอๆกับหนังสือเพื่อสุขภาพ

7. ทำให้พระมีเรื่องเทศน์

8. เป็นจุดเชื่อมต่อทางศาสนาต่างๆ เพราะไม่มีศาสนาใดบอกว่าการกินเหล้าเมามายเป็นเรื่องดี

9. มุขแป้กๆของละครเวลาไม่รู้จะเขียนบทยังไงดี จะเขียนให้วัยรุ่นกินเหล้าเมาฉุดนางเอก ถ้าเป็นหนังโรงพระเอกจะโดนยำ ถ้าเป็นละครทีวีพระเอกจะโดนมา1แผล ถ้าเป็นหนังชีวิตนางเอกจะไม่มีคนช่วย

10. เมื่อรัฐบาลส่งเสริมอาชีพ พบว่าอาชีพผลิตเหล้าเป็นอันดับต้นๆที่คนไทยคิดออก

11. ยี่ห้อเหล้าเมืองไทย มีมากกว่ายี่ห้อนม ... สร้างรายได้ให้ผู้เกี่ยวข้องมากกว่า

12. เหล้ามีกลุ่มเป้าหมายแคบกว่ากลุ่มเป้าหมายของนม.. แต่ส่วนแบ่งตลาดต่างกันลิบลับ

13. เหล้าทำให้ตับแข็ง และทำให้...อ่อน ควบคู่กันไปอย่างอัศจรรย์

14. คนเมามีสามกลุ่ม 1.บอกว่าตนเองเมาแล้ว 2. บอกว่าไม่เมา 3. พูดไม่ได้เพราะสลบไปแล้ว

15. เหล้ามีข้อดี ขนาดที่ว่ามีโทษมากมาย แต่รัฐบาลยังไม่ห้าม แปลว่ามันต้องมีข้อดีอันลึกลับแน่นอน

16. เหล้าทำให้เด็กกร้านโลก กล้าทำในสิ่งที่เด็กไม่กล้าทำเช่นปล้น ฆ่า ข่มขืน ... เป็นวิธีที่รวดเร็วในการพัฒนาเด็กเป็นผู้ใหญ่

17. เหล้าทำให้พ่อเด็กจำนวนมากตายไปในรูปแบบต่างๆ เด็กในครอบครัวเหล่านี้จะรู้จักช่วยตนเองสู้ชีวิตมากขึ้น

18. เหล้าทำให้ครอบครัวอบอุ่น เร่าร้อน เหงื่อท่วมตัว จากการออกกำลังทำร้ายร่างกาย และพัฒนาต่อมน้ำตาของเด็กๆให้เจริญเร็วไม่เป็นโรคตาแห้ง

19. เหล้ามีบทบาทป้องกันประเทศรัสเซียยามสงครามมาแล้ว ในฐานะ ระเบิดขวดอันลือลั่น

20. เหล้าทำให้เราเห็นความรักอันสูงยิ่งของแม่ต่อลูก หลายครั้งที่แม่ถูกลูกเมาเหล้าเตะถีบผลักจนแขนหักขาหัก แต่แม่ยังไม่เอาเรื่อง

21. มนุษย์และลิงเป็นสัตว์สังคมที่สูงชั้นกว่าหมาแมว ดูสิ หมาแมวมันยังไม่กินเหล้าเล

22. ลองนึกดูสิ ว่าเหล้าทำให้ประชากรตายไปมากแค่ไหน ถ้าไม่มีมัน โลกเราคงมีคนเยอะแยะมากมาย

23. เป็นอุปกรณ์สากลที่ทำให้ไทยจีนฝรั่งคุยกันรู้เรื่อง ดีกว่าวุ้นแปลภาษาของโดเรมอน

24. ทำให้กล้าแสดงออก กล้าพูดกล้าทำ แสดงออกซึ่งเสรีภาพในการพูดสมดังเป็นประเทศประชาธิปไตย


เป็นยังไงบ้าง ข้อดีของมัน

ฉลองปีใหม่มากินนมกันดีกว่า

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แก้เครียด!!!! จริงหรือป่าว

จดหมายจากแม่

ถึง ลูกรัก

แม่จะเขียนจดหมายนี่ช้า ๆ นะ เพราะแม่รู้ว่าแกน่ะอ่านหนังสือไม่ค่อยเร็ว ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่บ้านเดิมแล้วนะ พ่อแกเขาอ่านหนังสือพิมพ์เจอ เค้าบอกว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดในบ้าน 45 เปอเซนต์ (แม่ก็เขียนไม่ค่อยถูกนักนะ) ดังนั้นพวกเราจึงย้ายบ้าน รอบคอบดีไหมล่ะ แต่แม่ส่งที่อยู่ใหม่ให้แกไม่ได้หรอกนะ ไอ้คนเช่าคนก่อนมันเอาป้ายเลขที่บ้านไปด้วย สงสัยมันคงจะเอาไปติดบ้านหลังใหม่พวกมัน เออ...บ้านนี้มีเครื่องซักผ้าให้ด้วย แต่เครื่องแบบนี้มันเสียอยู่อย่างเดียว สงสัยถังมันรั่วน่ะลูก แม่ใส่น้ำทีไรก็ไม่เคยเต็มสักที แม่เลยหันมาใช้กะละมังเหมือนเดิม ที่นี่ฝนตกแค่อาทิตย์ละสองครั้งนะลูก สามวันครั้งกับสี่วันครั้ง อ้อ เสื้อแจ๊คเกตที่แกอยากให้แม่ส่งไปให้น่ะ กระดุมมันเป็นเหล็กนะลูก หนักมาก เวลาส่งไปก็จะเสียตังค์เยอะ ดีที่ป้าแกเค้าฉลาด เค้าก็เลาะกระดุมออกหมด ถ้าแกอยากใส่ก็เย็บกระดุมเอาเองนะ แม่เอากระดุมใส่ถุงแนบมาพร้อมกับแจ๊คเก็ตแกแล้ว เออ...น้องสาวแกเพิ่งคลอดลูกนะเช้านี่ แม่ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ดังนั้นแม่เลยบอกไม่ได้ว่าแกจะได้เป็นป้าหรือลุง ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว แค่นี้นะ

รัก...จากแม่

ป.ล. เออ..แม่กะจะส่งเงินให้แกอยู่พอดี แต่แม่ดันปิดซองจดหมายแล้วน่ะสิ ลืม... ( เมื่อลูกได้รับจดหมายก้อตอบมาทันทีดังนี้ )
.
.
.
จดหมายตอบจากลูก
แม่คับ ผมอ่านจดหมายแม่จบภายในเวลาที่แม่เขียนเลยคับ แม่กะเวลาเขียนได้เยี่ยมจริง ผมรู้สึกรักแม่อีกมากคับ เรื่องบ้านเลขที่ แม่ไม่ต้องห่วงนะคับ ผมคิดให้แม่ใหม่แล้ว เป็น 741 นะคับ พอดีวันนั้นผมดูหนัง แล้วเห็นบ้านเลขที่พระเอก เป็น 741 อ่ะคับ พระเอกหล่อดี เผื่อใช้แล้ว ผมจะหล่อเหมือนพระเอกนะคับ
จดหมายฉบับนี้ผมก้อเลยจ่าหน้าซองเป็น 741 เลยนะคับ หวังว่าแม่คงจะชอบ ถ้าน้องสาวคลอดลูกหญิง ก้อดีซินะคับ ผมจะได้เป็นป้านะ ผมไม่อยากเป็นลุงหรอกคับ เห็นไอ้พวกเพื่อนผมเป็นลุงกันหมดทุกคนเลย ผมไม่อยากเหมือนมันเลยคับ เนื่องจาก แม่ลืมส่งเงินมาให้ผม เพราะฉนั้นถือว่า แม่ติดผมโดยไม่รู้ตัว ไม่เป็นรัยคับ ครั้งหน้าแม่ส่งเป็น 2 เท่านะคับ ... ผมจะรอจดหมายจากแม่ด้วยใจจดจ่อคับ

ปล. จะเป็นการดี หากแม่ส่งจดหมายโดยไม่ปิดซองคับ ป้องกันการลืมคับ

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อีกหน่อยหน้าจอคอมฯจะบอกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่


ทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่นเผยว่าได้ใช้เทคโนโลยีใหม่สร้างหน้าจอ คอมพิวเตอร์ ซึ่งในที่สุดจะสามารถบอกได้ว่าคนนั้นคิดอะไรอยู่ เช่น ความฝัน เป็นต้น


นักวิจัยของห้องทดลองประสาทวิทยาเชิงคอมพิวเตอร์ เอทีอาร์ ประสบความสำเร็จในการสร้างคอมพิวเตอร์ประมวลผล และแสดงภาพโดยตรงจากสมองของมนุษย์ โดยผลการศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ในนิตยสารนิวรอนของอเมริกา แจ้งว่า แม้ขณะนี้ทีมวิจัยจะจัดการแสดงได้เพียงภาพง่ายๆ จากสมอง แต่ เทคโนโลยีนี้ในที่สุดแล้วจะสามารถใช้คิดค้นหาความฝันและความลับอื่นๆ ในใจคนเราได้ต่อไป


แถลงการณ์ของสถาบันวิจัยเอกชนแห่งนี้กล่าวว่า “นับเป็นครั้งแรกในโลกที่ทำให้มีความเป็นไปได้ในการมองเห็นภาพการทำงานของสมอง” และด้วยการใช้เทคโนโลยีนี้อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะบันทึก และย้อนภาพกลับขึ้นมาเล่นใหม่เพื่อให้ทราบว่ามีความฝันอะไร


โดยทั่วไปแล้วเมื่อคนเรามองดูวัตถุ เรตินาของดวงตาจะจำภาพแล้วนำไปแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทริค ซึ่งจะถูกส่งเข้าสู่สมองส่วนรับภาพ ในการทำงานนี้หัวหน้าทีมวิจัยนายยูคิยาสุ คามิตานิ ประสบความสำเร็จในการจับภาพสัญญาณแล้วจากนั้นสร้างภาพที่คนนั้นเห็นขึ้นมาใหม่ โดยในการทดลองได้ให้ผู้เข้าร่วมวิจัยดูตัวอักษร 6 ตัว เป็นคำว่า “นิวรอน” จากนั้นประสบ ความสำเร็จในการสร้างภาพตัวอักษรเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยวัดจากกิจกรรมทางสมอง


แม้จะเป็นความก้าวหน้าในการวิจัย แต่มีข้อวิจารณ์จากนักวิชาการทางฝั่งยุโรปและอเมริกา ว่าเครื่องมือแบบนี้อาจจะถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานด้านสืบสวนในการลุกล้ำความเป็น ส่วนตัว.



....ถ้างั้นต่อไปนี้ความฝันของเราก็จะไม่ใช่ความลับอีกแล้วน่ะสิ...


น่ากลัว น่ากลัวว

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ลองคิดเล่นๆ


ตอนเช้าได้อ่าน Microbio เรื่องเกี่ยวกับ Growth curve
ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ lag phase, log phase, stationary phase และ death phase

เลยมาคิดดูว่า เผ่าพันธุ์ มนุษย์ ปัจจุบันนี้ อยู่ช่วงไหนแล้ว?

เลยอยากได้ความคิดเห็นจากเพื่อนๆ และ อาจารย์ครับ ว่าคนอยูช่วงไหน

สำหรับตัวผม คิดว่า
คนน่าจะอยู่ประมาณ log phase ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วง stationary ครับ
เพราะ เดี๋ยวนี้มีการรณรงค์ให้วางแผนครอบครัว เป็นไปได้ว่า
อนาคต อัตราการเกิด จะเท่ากับ อัตราการตาย

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิจารณ์และแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ The Day the Earth Stood Still

มีหลายคน ที่เขียนวิจารณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ครูอยากให้พวกเราได้อ่านหลังจากที่เราได้ไปดูหนังกัน ..... และจะเห็นความคิด เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะคะ

คุณเทพบุตรตบะแตก http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7309705/A7309705.html

ภาคสอง จากคนเดิม ..... http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7312553/A7312553.html

ด้วยความปราถนาดี ต่อบุคคลอันเป็นที่รัก ทุกท่าน

อาจารย์จงดี

อยากให้รู้เรื่องราวก่อนดูหนัง .....

The Day The Earth Stood Still: ประเด็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและทางรอดของโลก

หนังเรื่องนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากมาย หลายๆประเด็นที่สามารถนำมาพูดกันได้ยาวเลย เนื้อหาของหนังเรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนที่นักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์กำลังสนใจและรณรงค์กันอยู่ ดังเช่นหนังสือที่ชื่อว่า "อิชมาเอล : จิตวิญญาณทัศนาจร " ของ แดเนียล ควินน์ ก็มีการพูดตรงกันหลายประเด็น ทั้งนี้สามารถหาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือ ได้ที่ http://www.pantip.com/cafe/library/bookcase/preview/2367.html (อาจารย์จงดี มีให้ขอยืม..... ย้ำ ขอยืม) อิชมา เอล ได้นำเอาแนวคิดสำคัญๆ ทางชีววิทยามาถ่ายทอดผ่านรูปแบบของงานวรรณกรรมได้อย่างสนุกสนาน ชวนติดตาม และเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดความสมดุลของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่าและเหยื่อ แนวคิดในเรื่องการวิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ การพึ่งพาอาศัยกันของสิ่งมีชีิวิตในธรรมชาติ รวมถึงการโยงทฤษฎี วิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินไปสู่การตีความในเรื่องการแก่งแย่งชิงดีและการเอาเปรียบกันในสังคม มนุษย์

ความคิดเห็นของบางคนแสดงออกแบบนี้ว่า

"ผมมีความเห็นต่างจากศาสตราจารย์ที่ได้ Noble Prize นิดหน่อยครับตรงที่...จริงๆ แล้วพวกเราไม่ได้อยู่ตรงปากเหว หรือปากวิกฤตพวกเรากำลังตกลงจากเหวแล้ว...เรา กำลัง Free fall อยู่ (We are free falling right now.) เพียงแต่เราไม่รู้ตัว และกำลัง "หลง" คิดไปว่า "เนี่ย มันไปได้ เรากำลังไปต่อได้"กระแสของบริโภคนิยม โลกาภิวัฒน์ ทุนนิยม วัตถุนิยมมาแรงมากและผู้คนที่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากระแสนี้มันไม่รอด มันไม่ได้ทำให้เรา และโลกของเรารอด มันน้อยนิดนักมีคำพูดหนึ่ง ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าใครพูด บอกไว้ว่าEnvironmental crisis is a crisis of mind.คำพูดนี้โผล่เข้ามาในหัวผมทันทีเลยครับ ตอนที่คลาตูบอกว่า"ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่ที่ตัวคุณ"

ในหนังสือ อิชมาเอล พูดถึงประเด็นนี้ว่าโลกในทุกวันนี้ มาถึงภาวะวิกฤติแล้ว ไม่ใช่กำลังจะเกิดนะครับ ย้ำอีกครั้ง เราอยู่ในภาวะวิกฤตเสมือนหนึ่ง เรากำลังตกจากหน้าผาด้วยอัตราเร่งจากแรงโน้มถ่วง ยิ่งใกล้ถึงพื้นเราก็จะมีความเร็วในการชนสูงขึ้นหมายความว่า ยิ่งใกล้วันหายนะ ภาวะเลวร้ายจะยิ่งทวีความรุนแรง และถี่ยิ่งขึ้นไม่ว่าจะน้ำท่วม ความผิดปกติของภูมิอากาศ ขาดแคลนเชื้อเพลิง อาหาร มลพิษสิ่งเหล่านี้ไปกระตุ้นเร้า ทำให้เกิดวิกฤติทางสังคมขึ้น ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สงครามหากมองถึงภาวะการณ์ตอนนี้ เราก็ตกจากผาด้วยความเร่งจริงๆ และคงใกล้จะโหม่งพื้นเต็มทน เพราะทุกอย่างเลวร้ายลงมากและพวกเราหลายคนก็รู้ว่าเรากำลังวิกฤติ แต่สิ่งที่เราทำคือพยายามจะเร่งแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีแต่....ดังที่ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกเคยกล่าวไว้"No problem can be solved from the same level of consciousness that created it"เราจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านระดับความตระหนักรู้ของเรา จึงจะสามารถก้าวพ้นปัญหาได้นั่นก็คือ ที่โลกถูกผลักไปสู่ความหายนะก็เพราะเราได้สร้างเทคโนโลยีที่เห็นแก่ตัวขึ้นและที่ผ่านมามนุษย์พร้อมที่จะกำจัดทำลายล้างทุกอย่างที่ไม่เอื้อต่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ตนเราควรหยุดความคิดที่เราเป็น "เจ้าเหนือโลก" ควรจะหยุดความคิดที่จะเข้าไปควบคุมจัดการธรรมชาติเพราะเราทำไม่ได้.... ถึงแม้เราอยากจะทำอย่างนั้นก็ตาม แต่หายนะตอนนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าเราทำไม่ได้เราควรจะเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ว่า เราจะอยู่กับธรรมชาติอย่างไร ไม่ใช่ในฐานะผู้พิชิตที่อยากจะเอาชนะแต่เป็นหนึ่งชีวิตในหลายล้านสายพันธุ์ที่พยายามจะอยู่ร่วมกันในโลก อย่างสมดุล อย่างเท่าเทียมเราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับความหายนะของเผ่าพันธุ์และโลกเราต้องสูญเสียแน่นอน เรา้ต้องได้รับผลที่เราได้ทำลงไป เหมือนกับคำพูดของคลาทูที่ว่า"คุณไม่ต้องหนีหรือต่อสู้ทั้งสองอย่าง เพราะคุณไม่อาจหนีพ้นหรือเอาชนะ(ธรรมชาติ)ได้"และทางรอดของมนุษย์ อยู่ที่ว่า "เราจะเปลี่ยนทันไหม?"

น่าคิดนะ

อาจารย์จง

กลุ่มวิจัยสหรัฐฯ ยัน “คน” ไม่ใช่ตัวการ “โลกร้อน”

เราฟังความข้างเดียวมามากว่า โลกร้อน เพราะ คน
วันนี้ลองมาดู ความคิดเห็นของอีฟากกันนะครับ แล้วลอง พิจารณาดู


1.การสังเกตรูปแบบการเกิดภาวะโลกร้อนเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแนวโน้มอุณหภูมิ ที่ผิวโลกและที่ชั้นบรรยากาศกลับไม่ได้แสดงลักษณะเฉพาะใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะเรือนกระจกเลย” เดวิด ดักลาส (David Douglas) ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ก หัวหน้าทีมวิจัย กล่าว ซึ่งการระบุว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น


2.การถอยร่นของธารน้ำแข็งและการเหือดหายไปของหิมะในเขตเทือกเขาแอลป์ ชั้นน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกที่บางลงในช่วงหน้าร้อน และการละลายของผืนดินที่เป็นน้ำแข็ง แสดงว่าความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้มาถึงตั้งแต่เดือน มี.ค.แล้ว


3.ข้อมูลการสังเกตจากดาวเทียมทำให้เห็นว่าแบบจำลองการเกิดภาวะเรือนกระจกได้ มองข้ามปัจจัยเรื่องเมฆและไอน้ำไป ซึ่งมันจะจำกัดผลของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดย ฝีมือคนเราให้เหลือน้อยลง

4.อุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นของโลกในเวลานี้เป็นเพียงวัฏจักรธรรมชาติระหว่างสภาพ ภูมิอากาศแบบอบอุ่นและหนาวเย็น ซึ่งเห็นได้จากแกนน้ำแข็ง ตะกอนใต้ทะเลลึก และหินงอก ดังที่มีการตีพิมพ์ในวารสารนับร้อยๆ งานวิจัย” ซิงเกอร์ กล่าวและชี้ว่า ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าคนจะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่ก็ยังคลุมเครือ
แต่สาเหตุว่าเพราะเหตุใด ภาวะดังกล่าวกลับปรากฏขึ้นในปัจจุบันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน แต่ทีมวิจัยคาดว่า สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของลมสุริยะและสนามแม่เหล็กนอกโลก ซึ่งมีผลต่อการไหลของรังสีคอสมิกที่ส่งผลต่อการเกิดเมฆ อันเป็นตัวควบคุมปริมาณแสงอาทิตย์ที่ตกมาถึงผิวโลก และทำให้เกิดภูมิอากาศ มากกว่าที่มันจะเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยฝีมือมนุษย์


อ้างอิงจาก http://www.en.mahidol.ac.th/forum/viewtopic.php?f=9&t=722

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"กงล้อหมุน"

เมื่อความมืดกำลังจะไป แสดงว่าเช้าวันใหม่กำลังจะมา
เมื่อสิ่งเก่ากำลังจะจบลง แสดงว่าสิ่งใหม่กำลังจะเริ่มต้น
เมื่อสูญเสียบางอย่างไป แสดงว่าจะได้บางอย่างมา
อย่ามัวกังวลกับสิ่งที่จากเราไป
จงเตรียมตัวต้อนรับสิ่งใหม่ที่กำลังจะมา

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ

อาจารย์จงดี

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

6 อันดับทางการแพทย์

อันดับ 1 อ่านหนังสือในที่มืดทำให้สายตาเสีย ผู้วชาญทางสายตากล่าวว่า การอ่านหนังสื่อในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอจะไม่ทำให้สายตาเสียแต่จะทำให้คุณต้องหรี่ตาลง กระพริบตาเพิ่มขึ้น และมีปัญหาในการหาจุดโฟกัส

อันดับ 2 การโกนขนไม่ทำให้ขนงอกเร็วขึ้นหรือแข็งกระด้างขึ้น การโกนขึ้นไม่มีผลต่อความแข็ง หนา ของเส้นขนและไม่ทำให้อัตราการงอกของขนเพิ่มเร็วขึ้น แต่ขนที่พึ่งงอกมันยังขาดสารเคลือบ ทำให้เรารู้สึกไปว่ามันแข็งและหยาบขึ้น

อันดับ 3 ทานไก่งวงแลัวจะง่วงนอน (อันนี้เหมือนบ้านเราที่ทานข้าวเหนียวแล้วง่วงรึเปล่านะ) กรดอะมิโนตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนคือ ทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่ไก่งวงไม่ได้มีกรดอะมิโนตัวนี้มากไปกว่าไก่หรือเนื้อวัว ซึ่งตัวการที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนก็คือการดื่มและทานอาหารมากไปในวันคริสต์มาส

อันดับ 4 เราใช้ 10% ของสมองในการทำงาน ความเชื่อนี้เกิดขึ้นในปี 1907 แต่ปัจจุบันการแสกนสมองเผยให้เห็นว่าไม่มีส่วนไหนในสมองที่มีการหลับหรือไม่ทำงานเลย

อันดับ 5 เล็บและผมสามารถยาวได้หลังจากตายไปแล้ว เรื่องนี้ได้ความคิดมาจากนิยาย ghoulish ซึ่งนักวิจัยระบุว่าหลังจากตายไปแล้ว ผิวจะแห้งและหดกลับ ทำให้มองดูเหมือนผมและเล็บจะยาวขึ้น

อันดับ 6 โทรศัพท์มือถือเป็นอันตรายในโรงพยาบาล ความเชื่อนี้แพร่หลายมาก แต่จากการวิจัยพบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนอุปกรณ์ทางการแพทย์น้อยมาก

^^

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ

ในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือมีความจำเป็นสำหรับทุกๆ คนเพราะมีประโยชน์โดยใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งมีทั้งความสะดวกและรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพท์มือถือโดยแนบไว้ที่หูครั้งละนานๆ เป็นเวลาหลายปี ก็อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้โดยตรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีรายงานการวิจัยพบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ - ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งมีความถี่อยู่ในช่วงคลื่นไมโครเวฟ สามารถทำให้เกิดความร้อนและทำร้ายเซลล์ภายในเนื้อเยื่อบริเวณหู ตา และสมอง
ผลในระยะสี้น คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออาจทำให้เกิดอาการต่งๆ เช่น ปวดหู ปวดศรีษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และอาจรู้สึกเครียดเนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน หรือ อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือ ทำให้คลื่นสมองมีการเปลี่ยนแปลงได้
ผลในระยะยาว คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย หรือ อาจทำให้เป็นมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ หรือ เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( leukemia และ lymphoma )
อย่างไรก็ตามผลการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของโทรศัพท์มือถือที่จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมและโรคมะเร็งนั้น ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ แต่การใช้โทรศัพท์มือถือย่อมมีผลกระทบต่อสุขภาพแน่นอน สัปดาห์หน้าเราจะมาแนะนำวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้ทุกๆ คนปลอดภัยจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ธรรมชาติความรู้ทางวิทยาศาสตร์:ความรู้เชิงกระบวนการ

ผลจากแนวทางที่คนเรียนรู้เกี่ยวกับโลก ของพวกเขานั้น กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ก็คือความรู้เชิงมโนทัศน์หรือเชิงบรรยาย ขั้นตอนวิธีที่แต่ละคนใช้ให้เกิดความรู้เชิงกระบวนการโดยรวมๆเรียกกันว่า ความรู้เชิงกระบวนการ เช่นการขโมยความคิดผู้อื่น การอุปนัย การนิรนัย และการ อินเฟอร์เรนซ์ ฯลฯ รูปแบบการหาเหตุผลหรือกลวิธีทางความคิดเช่นการหาเหตุผลจากเส้นทางที่มากที่ สุด (combinatorial reasoning) หรือการสร้างทางเลือกสมมุติฐานอื่นให้ได้มากที่สุด (the generation of combination of alternative hypothesis) การควบคุมตัวแปร (การทดลองในแนวที่การเปลี่ยนตัวแปรอิสระเพียงตัวแปรเดียว) การหาเหตุผลเชิงสัมพันธ์ (correlational reasoning) ที่เปรียบเทียบสัดส่วนที่จะสนับสนุนเหตุการณ์หรือไม่ นั้นฝังตัวอยู่ในกระบวนการนี้

สำหรับขั้นการพัฒนาความรู้เชิงกระบวนการดังปรากฏในทฤษฎีพัฒนาการของเปีย อาเจต์ โดยเฉพาะในส่วนการคิดของผู้ใหญ่หรือ การคิดแบบฉบับ (formal operational thought) บุคคลใดที่ที่เข้าสู่ขั้นการพัฒนานี้ของการคิดแบบผู้ใหญ่ เป็นการคิดของแต่ละบุคคลที่ข้ามพ้นปัจจุบันและสร้างทฤษฎีขึ้นเองกับทุกสิ่ง ทุกอย่าง ลอร์สัน (1984) ได้ตั้งสมมุติฐานในส่วนสำคัญที่เปลี่ยนจากขั้นที่ต่ำกว่าของการพัฒนาไปสู่ ขั้นการพัฒนาที่สูงขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของผู้ใหญ่ที่จะถามคำถาม ไม่ใช่เพราะผู้อื่นแต่เพราะตัวเองที่สะท้อนให้เห็นต่อความถูกต้องหรือความ ไม่ถูกต้องของคำตอบของคำถามดังกล่าวเหล่านั้นในลักษณะการตั้งสมมุติฐานเชิง นิรนัย (hypothetical deductive)

Kuhn, Amsel และ O’Loughlin (1988) ได้ชี้ให้เห็นความสามารถหลัก 3ประการที่ได้มาโดยผู้ใหญ่บางคนคือ
1. ความสามารถที่จะคิดเกี่ยวกับทฤษฎีมากกว่าการคิดเฉพาะกับทฤษฎี ผู้ใหญ่ที่สามารถสะท้อนความคิดเพื่อพิจารณาทฤษฎีทางเลือกอื่น และถามต่อว่าอันไหนที่สามารถยอมรับได้มากที่สุด
2. ความสามารถที่จะพิจารณาหลักฐานที่จะถอนออกจากสิ่งที่แตกต่างออกจากทฤษฎีโดย ตัวเอง สำหรับเด็กหลักฐานและทฤษฎีไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้และเป็นเรื่องยาก ที่สุดที่จะทำให้เกิดขึ้นในห้องเรียน นั่นก็คือคำระหว่าง สมมุติฐาน การพยากรณ์ และหลักฐาน (Lawson, Lawson and Lawson, 1984)
3. เป็นความสามารถที่จะกันการยอมรับหรือปฏิเสธของตัวเองของทฤษฎีเพื่อประเมินอย่างอย่างมีจุดประสงค์ภายใต้การพยากรณ์และหลักฐานอ้างอิง

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ควรจะยอมรับว่าถูกต้อง เฉพาะตราบเท่าที่ยังดูมีเหตุผลภายใต้คำอธิบายและหลักฐานทางเลือกอื่น และหลักฐานที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ประสบความสำเร็จในธรรมชาติ แม้ว่าการค้นพบหลายอย่างทางวิทยาศาสตร์ก้าวเข้ามาสร้างนักวิทยาศาสตร์ในขั้น ต้นโดยโอกาสหรือบังเอิญ แม้ว่าจะมีเรื่องดังกล่าวปรากฏอยู่ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกือบทั้งหมดมาจากกลวิธีจากการใช้การคิดเชิง วิทยาศาสตร์ (scientific thinking) การสอนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ส่วนมากแล้วมุ่งเน้นไปสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (process of science) โดยพิจารณาถึงอะไรที่เป็นแก่นกลางของพลังของวิทยาศาสตร์ ที่สามารถอธิบาย และสามารถทำนายปรากฏการณ์ได้จริง บางครั้งการอธิบายและการทำนายเป็นเรื่องหลักเป็นสิ่งเดียวกัน ที่แตกต่างกันก็คือการพยากรณ์เกิดขึ้นก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น และคำอธิบายอาจเกิดขึ้นหลังจากที่ปรากฏการณ์เกิดขึ้น)

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เพลงบรรเลง (เสริมจากหัวข้อดนตรีบำบัด)

เป็นเพลงบรรเลง เปียโน ฟังแล้ว ผ่อนคลายดีครับ ^.^


Final Fantasy IV Piano Collection


Tracklist:
01 The Prelude
02 Theme of Love
03 Prologue
04 Welcome to Our Town!
05 Main Theme of Final Fantasy IV
06 Chocobo-Chocobo
07 Into the Darkness
08 Rydia
09 Melody of Lute
10 Golbeza Clad in the Dark
11 Troian Beauty
12 The Battle
13 Epilogue
14 Theme of Love (ensemble)
http://v3.gushare.com/file.php?file=6e2f27f51de71af3769f24e123ea94f8
http://v3.gushare.com/file.php?file=e7926242327961f68e48466c48332b1a
Final Fantasy V Piano Collection

Tracklist:
01 A Presentiment
02 Tenderness In The Air
03 Harvest
04 Ahead On Our Way
05 Critter Tripper Fritter
06 My Home Sweet home
07 Mambo De Chocobo
08 Lenna's Theme
09 Music Box
10 Battle With Gilgamesh
11 Waltz Clavier
12 Dear Friends
13 The New Origin
http://v3.gushare.com/file.php?file=6068a6b1318882b4a77df6059acd903a

Final Fantasy VI Piano Collection

Tracklist
01 Terra
02 Gau
03 Kefka
04 Spinach Rag
05 Stragus
06 The Mystic Forest
07 Kids Run Through the City Corner
08 Johnny C Bad
09 Mystery Train
10 The Decisive Battle
11 Coin Song
12 Celes
13 Waltz de Chocobo
http://v3.gushare.com/file.php?file=af7a0089f31335934c7e0e2d1fa475e2

Final Fantasy VII Piano Collection

Tracklist:
01 Tifa's Theme
02 FFVII Main Theme
03 Cinco De Chocobo
04 Ahead on Our Way
05 Those Who Fight
06 Valley of the Fallen Star
07 The Golden Saucer
08 Farm Boy
09 Rufus' Welcoming Ceremony
10 J-E-N-O-V-A
11 Aerith's Theme
12 One-Winged Angel
13 Descendent of Shinobi
http://v3.gushare.com/file.php?file=bcc0d8731c96e632af2a686c2b3a4480

Final Fantasy VIII Piano Collection

Tracklist:
01 Blue Fields
02 Eyes On Me
03 Fisherman's Horizon
04 Succession Of Witches
05 Ami
06 Shuffle Or Boogie
07 Find Your Way
08 Oath
09 Silence And Motion
10 Castle
11 Successor
12 Ending Theme
13 Slide Show Part 2
http://v3.gushare.com/file.php?file=7bdba6e273b04ce39954a869c0727e54

Final Fantasy IX Piano Collection

Tracklist:
01 Eternal Harvest
02 Secret Library Daguerreo
03 The Place I'll Return to Someday
04 Vamo' alla flamenco
05 Frontier Village Dali
06 Bran Bal, the Soulless Village
07 Passing Sorrow
08 You're Not Alone!
09 Two Hearts Not Captured - Towards the Gate
10 Loss of Me
11 Sleepless City Treno
12 Unfathomed Reminiscence
13 Final Battle
14 Melodies of Life
http://v3.gushare.com/file.php?file=0d84d2cb4b24f79c2bbb2f35dce43819

Final Fantasy X Piano Collection

Tracklist:
01 To Zanarkand
02 Tidus' Theme
03 Bisaido Island
04 Song of Prayer
05 Traveling Company
06 Rikku's Theme
07 Guadsalam
08 Thunder Plateau
09 Attack
10 Via Purifico
11 Suteki da ne
12 Yuna's Determination
13 People of the North Pole
14 Decisive Battle
15 Ending Theme
http://v3.gushare.com/file.php?file=70ad2e8868abfe446154ec541bed23b8

Final Fantasy X-2 Piano Collection

Tracklist:
01 Wind Crest The Three Trails
02 Yuna'S Ballad
03 Paine'S Theme
04 Creature Create
05 Calm Lands
06 Zanarkand Ruins
07 Akagi Party
08 From Cave'S Nightmare
09 Demise
10 1000 Words
11 Epilogue Reunion
12 Eternity Memories Of Light
http://v3.gushare.com/file.php?file=9799b7f6cb9a36fc8e885857fe6ae704
http://v3.gushare.com/file.php?file=7d33fa89338618ae483231877f907565

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

ใน ปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอั งกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่ มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่ เราพูดกันติดปากจึงเสนอคำศัพท์สัก 8 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันค่ะ

1) อินเทรนด์ (in trend) คำ นี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรื อโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้ องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุ ณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้ องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่ างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึ งอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริ งหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น "He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์ "No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคื อการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลา คุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่ พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนั งหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็ นภาษาอื่น ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ ภาพเป็นภาษาอังกฤษ หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นั กแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/videos/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มี คำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพั ฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่ง ฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้ งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่ แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรอง ว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็ นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็ นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่ า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่ างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่ างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ( ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้ อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ใน กรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่ง คงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้ างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนั บสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลัง

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดนตรีบำบัด ( Music Therapy )

เพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินเรื่อง "ดนตรีบำบัด" กันใช่มั้ย แล้วเพื่อนๆ รู้รึเปล่าว่าดนตรีมันช่วยบำบัดเราได้ยังไง
เมื่อคนเราเมื่อได้ยินเสียงดนตรี สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่รับรู้ถึงจังหวะง่ายๆไม่ซับซ้อน ในขณะที่สมองซีกขวาจะรับรู้ถึงท่วงทำนอง ระดับเสียงสูงต่ำ หรือจังหวะที่ซับซ้อนมากขึ้นแล้วเก็บไว้เป็นความทรงจำเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนได้ในคราวต่อไป ดนตรีจะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจดังนี้
1. ผลต่อร่างกาย : มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ อัตราการเต้นของชีพจร ความดันและการไหลเวียนโลหิต การตอบสนองของม่านตา ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด
2. ผลต่อจิตใจและอารมณ์ : ทำให้เกิดอารมณ์และจินตนาการร่วมกับเสียงดนตรี เช่น ผ่อนคลาย สดชื่น สนุกสนาน เพราะดนตรีช่วยกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุข (Endorphin) จากสมองได้ นอกจากนี้เสียงดนตรียังช่วยพัฒนาการสื่อภาษาและทักษะในการเรียนรู้ที่ดีขึ้น ตลอดจนทำให้เกิดสมาธิ และการมองโลกในเชิงบวกอีกด้วย โดยดนตรีแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบของดนตรี

จังหวะหรือลีลา (Rhythm) จังหวะดนตรีเบาๆ จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เพลงที่มีจังหวะช้าเรียกว่า Minor Mode จะทำให้รู้สึกเศร้า ผ่อนคลาย เพลงที่มีจังหวะเร็วเรียกว่า Major Mode ทำให้รู้สึกสดชื่น ร่าเริง สนุกสนาน
ระดับเสียง (Pitch) ระดับเสียงต่ำหรือสูงปานกลางจะทำให้เกิดสมาธิดีที่สุด
ความเร็ว (Tempo) และ ความถี่ (Vibration) ก็มีบทบาทมากเช่นกัน หากระดับความเร็วเท่ากับจังหวะของชีพจรพอดี นั่นคือจุดสมดุลที่ทำให้คนๆ นั้นรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ขณะที่ความถี่จะมีผลต่อคลื่นสมอง เมื่อไรที่ความถี่ของเสียงตรงกับคลื่นสมองก็จะทำให้คนๆ นั้นเข้าถึงอารมณ์ดนตรีได้ดีที่สุด นี่คือเหตุผลที่ว่าคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าจึงชอบฟังเพลงเศร้า คนที่มีอารมณ์สนุกสนานชอบฟังเพลงเร็วที่มีความถี่ของเสียงสูง
ความดัง (Volume) เสียงที่เบานุ่มจะทำให้รู้สึกสบาย ขณะที่เสียงดังทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ทำนอง (Melody) ช่วยให้มีการแสดงออกจากความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจ เกิดความคิดสร้างสรรค์และลดความกังวล ทำนองเพลงจึงมักจะเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจหรือแรงขับของนักแต่งเพลงที่เรียกว่า “Motif” ของนักแต่งเพลงนั่นเอง
การประสานเสียง (Harmony) เป็นตัววัดระดับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังได้โดยสังเกตจากปฏิกิริยาที่แสดงออกมาเมื่อฟังเสียงประสานจากบทเพลงในระยะเวลาหนึ่ง

วันไหนที่มีเวลาว่าง เพื่อนๆ ก็หาเพลงที่ตัวเองชอบมาฟังเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนอันแสนสาหัส แล้วจะรู้ว่าดนตรีสามารถบำบัดสุขภาพของเราได้จริงๆ

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิธีแก้ง่วง

1. วิธี standard method กินกาแฟ แต่ท่านที่ต้องการเห็นผลทันที ควรเอากาแฟหยอดตาหายง่วงปลิดทิ้ง

2. apply มาหน่อย กินยาบ้า สนใจผลิตภัณฑ์นี้ติดต่อบังรอน มี Promotion ใหม่ ซื้อยาบ้า 1 เม็ดแถมมีดปลายแหลม 1 ด้าม เพื่อสะดวกแก่การฟุ้งซ่าน ถ้าโชคดีมีสิทธิ์ขึ้นข่าวหน้า 1เป็นคนดังชั่วข้ามคืน

3. อมเปลือกทุเรียนไว้ทั้งเปลือก ห้ามคายไม่งั้นเดี๋ยวง่วง ผู้ที่ไม่ชอบทุเรียน อนุญาตให้อมครกแทนได้ แต่ไร้รสชาด

4. ง่วงแล้วหยิกตัวเองให้ตื่น ถ้าไม่หาย เปลี่ยนไปหยิกคนข้างๆ แล้วคนข้างๆ จะประเคนลำแข้งให้หายง่วงได้

5. หาเรื่องเครียดเครียดใส่ตัว เช่น ใช้เงินทั้งเดือนให้หมดภายใน 1 วัน ไปมีเรื่องกับจิ๊กโก๋ปากซอยเอาให้มันอาฆาตเล่น หรือไปหาเรื่องให้ตัวเอง ติดเอดส์ เป็นต้น จะทำให้ตาค้างตลอดคืน

6. อย่าอยู่เงียบๆ หรือฟังเพลงเบาๆ ต้องหาสถานที่หนวกหูตอนดีกดีก เช่น ถนนหรือทางด่วนที่มันชอบซิ่งรถ บ้านที่ผัวเมียชอบทะเลาะกันดึกดึก RCA ร้านไหนก็ได้ หอบงานไปทำบริเวณนั้นทำให้ไม่หลับ วิธีนี้เหมาะกับ คนจิตแข็งมีสมาธิดีเท่านั้น

7. อย่าทำงาน หรืออ่านหนังสือบนเตียงนอน หลับแหงแหง ให้ทำใต้เตียงแทน อึดอัดหน่อย ต้องทน

8. นอนกลางวัน สะสมก่อน ถ้าเจ้านายถามก็บอกว่าเก็บแรงไว้ทำงาน ให้เจ้านายตอนกลางคืน เจ้านายจะซาบซึ้งมาก

9. ต้องทำตาให้ค้าง สมัยก่อนใช้ไม้หนีบ แต่สามารถใช้กาวตราช้าง หรือไปกราบไหว้ผีบ้านผีเรือนให้มาปรากฎตัว แทนได้ จะทำให้ตาค้างได้ดีมากเหมือนกัน

10.อย่าขยันทำการบ้านนะ จะเพลียแย่ ทำให้ง่วงได้ (วิธีนี้เฉพาะคนมีครอบครัว)

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กิ้งกือมังกรสีชมพู




ข่าวนี้ เพื่อนๆบางคนอาจจะรู้แล้ว แต่ก็เชื่อแน่ว่า ยังมีคนที่ไม่รู้จึงเอามาโพสต์ครับ

กิ้งกือมังกรสีชมพู สัตว์ชนิดนี้สร้างชื่อให้ประเทศไทยด้วยการติดอันดับโลกของสุดยอดการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ในโลก พบในไทยเพียงแห่งเดียว

กิ้งกือมังกรสีชมถูกค้นพบโดยสมาชิกในชมรมคนรักกิ้งกือเมื่อเดือน พ.ค. 2550 พบในบริเวณป่าเขาหินปูนแถบภาคกลางตอนบนต่อกับภาคเหนือตอนล่าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เดสโมไซเตส เพอร์พิวโรเซีย (Desmoxytes purpurosea)

วันที่ 23 พ.ค. 2551 สถาบันไอไอเอสอี (International Institute for Species Exploration: IISE) มหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา (Arizona State University) สหรัฐฯ ประกาศให้กิ้งกือมังกรสีชมพูเป็นสุดยอดการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่อันดับที่ 3 ของโลก รองจากการค้นพบปลากระเบนไฟฟ้าในแอฟริกาและการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์ปากเป็ดอายุ 75 ล้านปี ในสหรัฐฯ ซึ่งได้อันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับ

ศ.ดร.สมศักดิ์ ผู้ศึกษาวิจัยภายใต้โครงการวิจัยกิ้งกือและไส้เดือนดิน กล่าวว่า คนทั่วไปมักไม่ค่อยชอบและไม่สนใจสิ่งมีชีวิตจำพวกกิ้งกือและไส้เดือน เพราะไม่เป็นคุณค่าและประโยชน์ของพวกเขา อีกทั้งบางส่วนยังเข้าใจผิดว่ากิ้งกือกัดคนได้

ถ้าสมมติกิ้งกือมีคุณค่าเท่ากับ แมวเปอร์เซีย ผู้คนคงสนใจ กิ้งกือ ซินะ

อาการของมะเร็งในอวัยวะต่างๆ

อาการของมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ในระยะแรกมักจะไม่ปรากฏอาการ ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น (อาจนานเป็นเดือน เป็นปี) จะมีอาการทั่วไป (พบร่วมกันในมะเร็งทุกชนิด) คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้ เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด เป็นลม ใจหวิว คล้ายหิวข้าวบ่อย ส่วนอาการเฉพาะของแต่ละโรค (ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนจะมีอาการทั่วไป) เกิดจากก้อนมะเร็งไปกดเบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็น พอจะสรุปได้ดังนี้

1.มะเร็งผิวหนัง ส่วนมากจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือ จุดตกกระในคนแก่ โดยมีอาการคันแตกเป็นแผล เรื้อรังไม่ยอมหาย โดยไม่มีอาการเจ็บปวด ต่อมาแผลโตขึ้นเร็ว และมีเลือดออก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการถูกแสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต) การกินยาที่เข้า สารหนู หรือน้ำมันดินที่มีผสมอยู่ในยาจีนยาไทย การสัมผัสถูกสารหนู หรือน้ำมันดิน การระคายเรื้อรังต่อไฝ ปานหรือหูดที่มีอยู่ก่อน

2.มะเร็งในช่องปาก จะมีก้อนหรือแผลเรื้อรังเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก เยื่อบุช่องปาก ลิ้น โดยเริ่มจากฝ้าขาวๆ ที่เรียกว่า ลิวโคพลาเคีย (Leukoplakia) มีสาเหตุสัมพันธ์กับการระคายเรื้อรัง เช่น กินหมาก จุกยาฉุน ฟันเกหรือใส่ฟันปลอมไม่กระชับ ดื่มเหล้าเข้มข้น (ไม่ผสมเจือจาง) สูบบุหรี่

3.มะเร็งที่จมูกและโพรงหลังจมูก มีอาการเลือดออกทางจมูก หน้าชา คัดจมูก ปวดศีรษะ ต่อมาอาจมีเลือดปนน้ำเหลืองออกทางจมูก หูอื้อ กลืนไม่ได้ ตาเข ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มะเร็งที่โพรงหลังจมูก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น สูบบุหรี่ การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV)

4.มะเร็งที่กล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรังและอาจมีอาการเจ็บคอ เวลากลืนเหมือนมีก้างติดคอต่อมามีเลือดออกปนกับเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น การสูบบุหรี่จัด การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี

5.มะเร็งปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ไอออกเป็นเลือดปนเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ การสูดควันดำจากท่อไอเสียรถ เขม่าจากโรงงาน สารใยหิน (asbestos) หรือฝุ่นนิกเกิล

6.มะเร็งหลอดอาหาร เริ่มแรกอาจรู้สึกเจ็บเวลากลืนอาหาร ต่อมากลืนข้าวสวยไม่ได้ ต่อมากลืนข้าวต้มไม่ได้ จนในที่สุดกลืนได้แต่ของน้ำๆ หรือ กลืนอะไรก็ไม่ลงเลย พบมากในผู้ชาย มีสาเหตุสัมพันธ์กับการกินอาหาร และดื่มของร้อนๆ (เช่น น้ำชาร้อน ๆ), การดื่มเหล้าเข้มข้น, การสูบบุหรี่, ภาวะขาดวิตามินเอ เป็นต้น

7.มะเร็งกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด แน่นท้องอยู่เรื่อย เบื่ออาหาร ต่อมาอาจมีอาเจียน คลำก้อนได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย น้ำหนักลด ซีด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) แบบเรื้อรัง, การกินอาหารที่มีสารไนเทรตหรือไนโตรซามีน, อาหารเค็มหรืออาหารหมักเกลือ, อาหารประเภทรมควัน, กรรมพันธุ์, การมีประวัติการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นต้น

8.มะเร็งตับอ่อน เริ่มแรกอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมามีอาการปวดท้อง และปวดหลังดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีดขาว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ สารไนโตรซามีนสารไฮโดรคาร์บอน การกินอาหารพวกไขมันและโปรตีนสูง และอาจมีสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์

9.มะเร็งลำไส้เล็ก มักมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ น้ำหนักลด เป็นไข้ หรือมีภาวะลำไส้อุดตัน (ปวดท้องรุนแรง อาเจียน) บางรายอาจมีอาการดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีด ขาว อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง อาจมีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง

10.มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเดินแบบเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด หรือมูกปนเลือดเรื้อรัง ปวดท้อง ปวดหลัง ซีด น้ำหนักลด มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น ภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูง, การกินอาหารที่มีกากใยน้อย แต่กินพวกไขมันมาก, ประวัติการเป็นมะเร็งในญาติพี่น้อง เป็นต้น

11.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นก้อนที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ อาจมีไข้เรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เอชทีแอลวี-1, เชื้ออีบีวี, เอดส์, การได้รับยาเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดมาก่อน เป็นต้น

12.มะเร็งเต้านม คลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (เดิมเป็นปกติ เพิ่งมาบุ๋มตอนหลัง) หรือมีน้ำเหลืองหรือเลือดออกทางหัวนม ต่อมาจะมีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันโต ผู้หญิงที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ เช่น ผู้หญิงที่มีมารดาเป็นมะเร็งเต้านม ก่อนวัยหมดประจำเดือน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้หลังวัยประจำเดือน, ผู้หญิงเกิน 50 ปี ที่ยังไม่มีบุตร, ผู้หญิงที่มีบุตรคนแรกเมื่ออายุเกิน 30 ปี, ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นโรคเต้านมเรื้อรัง, คนอ้วน, ผู้ที่สัมผัสถูกรังสี หรือดื่มเหล้า

13.มะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกเวลาร่วมเพศ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด หรือมีตกขาวเรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ของปากมดลูกซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด การสูบบุหรี่ เป็นต้น โรคนี้พบมากในผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย มีสามีหลายคน หรือมีสามีสำส่อนทางเพศ และในหญิงบริการ

14.มะเร็งอัณฑะ พบมีก้อนแข็งที่ถุงอัณฑะ และโตขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย สาเหตุ ยังไม่ทราบ พบว่า ผู้ที่มีอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะ ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด อาจค้างอยู่ในช่องท้อง หรือขาหนีบ มีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้น

15.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัดและบ่อย มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ การสัมผัสถูกสารอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ที่เป็นสารประกอบของสีที่ใช้ทางอุตสาหกรรม, การกินอาหารพวกเนื้อปิ้ง ย่าง และไขมันมาก

16.มะเร็งต่อมลูกหมาก มักไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ทำให้มีอาการขัดเบา ปัสสาวะลำบาก หรือ ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังหรือปวดสะโพกน้ำหนักลด มักพบในคนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีสาเหตุสัมพันธ์กับฮอร์โมนแอนโดรเจน และพบว่าผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ หรือเคยทำหมันชาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงขึ้น

17.มะเร็งกระดูก มีอาการข้อบวม กระดูกบวม บางครั้งพบหลังเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เข้าใจว่าเป็นกระดูกหักได้

18.มะเร็งของลูกตาในเด็ก (Retemoblastoma) นัยน์ตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว เด็กจะบ่นว่าตาข้างนั้นมัว หรือมองอะไรไม่เห็น เมื่อเป็นมากขึ้น ตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอกเบ้าตา

19.มะเร็งรังไข่หรือไต มีอาการมีก้อนในท้อง ท้องมาน ส่วนมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งในสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับเนื้องอกในสมอง มะเร็งต่อมไทรอยด์

คราวนี้เราก็ต้องมาสำรวจทั้งตัวเราเองและคนที่เรารักแล้วนะคะว่ามีอาการแบบที่กล่าวมารึเปล่า

อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพด้วยนะคะ...

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รู้ไว้ นิสัย 10 อย่างที่ทำให้สมองพัง

ต้นเหตุของสมองเสื่อม ความจำสั้น อัลไซเมอร์ สมอง คืออวัยวะสำคัญ มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอยังทำร้ายสมองด้วยเช่น
1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

เพื่อนๆ ดูแลตัวเองกันด้วยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มหัศจรรย์ จาก ปลาทู

"ปลาทู" ปลาทะเลที่ผู้คนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรด้วยเป็นสัตว์ทะเลที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกับสำรับกับข้าวคนไทยมานานเท่านาน

ปลาทูคลุกข้าวเคล้าน้ำปลา น้ำพริกปลาทูอันเลื่องชื่อ ต้มยำปลาทู เมี่ยงปลาทู ปลาทูต้มกะทิ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นอาหารอร่อยทรงคุณค่า เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น วัยทำงาน และคนชรา

นั่นเป็นเพราะคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของปลาทูที่เปี่ยมไปด้วย "วิตามินดี" ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าลำไส้ เพื่อนำไปสร้างเสริมและซ่อมแซมกระดูกและฟัน ทั้งยังช่วยรักษาระบบประสาทและการทำงานของหัวใจให้อยู่ในสภาพที่ดีสม่ำเสมอ และยังช่วยในเรื่องการแข็งตัวของเลือด ช่วยควบคุมแคลเซียมไปยังส่วนต่างๆ อย่างเพียงพอ ทั้งยังมีไอโอดีนส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ

ปลาทูยังมีกรดอะมิโนโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายสูงกว่าปลาชนิดอื่น โดยเฉพาะไลซีน ที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และทรีโอนีน ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในวัยเด็ก

ที่สำคัญปลาเพื่อนรักตัวนี้ยังมี "โอเมก้า 3" ที่ทรงคุณค่ากับร่างกายมากมาย

ศ.น.พ.ปิติ พลังวชิรา ผอ.ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antiaging Medicine กล่าวว่า "โอเมก้า 3" เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว ซึ่งจากการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในปลานั้น จะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์สร้างสมดุล ปรับระดับความข้นของเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเป็นการช่วยลดอัตรา การเกิดโรคหัวใจ และยังช่วยบำรุงตับอ่อนเลี่ยงความเสี่ยงที่จะ ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้

นอกจากนี้มีการพบว่าการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยให้ระบบประสาทและสมองดีขึ้น ป้องกันและแก้ไขโรคความจำเสื่อม หรือโรคที่สมองไม่สั่งงาน ช่วยเสริมสภาวะจิตใจ สุขภาพสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค และช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด

คุณสมบัติอันเต็มเปี่ยมนี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ใน "น้ำมันปลา" หรือน้ำมันที่สกัดจากปลาที่อยู่ในเขตหนาว แซลมอน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาทะเลน้ำลึก อย่างปลาโอ ปลาซาบะ ปลาทูน่า รวมไปถึงปลากะพง และ "ปลาทู" ยอดฮิตของเราด้วย

เนื้อปลาทู 100 กรัม จะมีสารโอเมก้า 3 อยู่ประมาณ 2-3 กรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องการได้รับโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมเท่านั้น

"ผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีควรจะหาอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า 3 และหาน้ำมันปลารับประทานได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยแห่งการ เจริญเติบโต และที่สำคัญในวัยนี้โอเมก้า 3 จะช่วยบำรุงสมอง จนถึงวัยสูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ โอเมก้า 3 ก็ช่วยปรับสมดุล ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้"

หากผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงโดยอาศัยประโยชน์จากปลาทะเลน้ำลึกแล้ว ปลาทูถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

>>นี่คือ มหัศจรรย์ปลาทู เพื่อนสนิทคนไทย

กินปลาทูกันเถอะเพื่อนๆ...

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Wall-E หนังดีๆ แนะนำ


เป็นหนังน่ารักๆ ของหุ่นยนต์ ๒ ตัว ที่มีแทรกเนื้อหาของสิ่งแวดล้อมด้วย ^.^
ดูได้เลย



ตอนที่ ๑
ตอน ๒
ตอน ๓
ตอน๔
ตอน๕

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อีกมุมของการศึกษา "เด็กไทยไม่โง่" แล้วอารายล่ะที่ทำให้????

จากการปาฐกถาเรื่อง “เด็กไทยไม่โง่” เมื่อ วันที่ 26 พ.ค. ศ.น.พ.ประเวศ วะสี กล่าวว่า การศึกษาของไทยมีรูปแบบเอกนิยม คือ บีบให้ทุกคนต้องศึกษาเรื่องที่เหมือนกัน ขณะที่ธรรมชาติของมนุษย์มีความหลากหลาย มีความสนใจ และความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อถูกบีบคั้นให้เรียนในสิ่งที่ไม่ชอบก็อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและกลายเป็นปัญหาอื่น ๆ ระบบการศึกษาแบบนี้จึงสร้างตราบาปให้กับคนทั้งชาติ ทั้งที่คนไทยไม่ได้โง่ แต่ระบบการศึกษาทำให้คนไทยโง่ เพราะต้องเรียนเรื่องที่เหมือนกัน ใครที่มีความสามารถโดดเด่นออกมาก็มักจะถูกมองว่ามีปัญหา ประเทศไทยจึงสูญเสียโอกาสในการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และระบบการศึกษาที่มีการแข่งขันกันด้วยการสอบและคะแนน ยังเป็นตัวทำลายศีลธรรมพื้นฐานทั้งหมด ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นคน เพราะเมื่อไหร่ที่เด็กสอบไม่ได้ หรือทำคะแนนได้น้อยก็จะบอกว่าคนนี้ไม่เก่ง เด็กก็จะรู้สึกด้อยค่าลง รู้สึกไม่มีคุณค่าในตนเอง สังคมไทยในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร

ศ.น.พ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า เราควรเลิกสนใจเรื่องหงส์แดง หงส์ดำกันเสียที และรัฐบาลควรหันมาใส่ใจเรื่องการศึกษา ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือการปฏิรูปการศึกษาระยะที่ 2 หมายถึงปฏิรูประบบการศึกษาและปฏิรูประบบการเรียนรู้ โดยต้องดำเนินการดังนี้
  1. ลดการเรียนแบบท่องจำจากหนังสือภายในห้องเรียนให้เหลือน้อยลงที่สุด
  2. ให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ วิถีชีวิต ชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด
  3. เรียนรู้จากสื่อ เช่น เอกสาร อินเทอร์เน็ต และพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสื่อก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย
  4. เรียนตามความสามารถของแต่ละบุคคล ไม่ต้องเรียนเหมือนกัน
  5. มีการศึกษา วิจัยให้ลึกซึ้งขึ้น โดยการฝึกบันทึก นำเสนอในกลุ่ม ตั้งคำถามและหาคำตอบ ซึ่งการวิจัยจะทำให้เกิดกระบวนการศึกษา แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการทำวิจัยจำนวนน้อย
  6. ต้องศึกษาโดยรู้จักเห็นจิตใจและมีสำนึกนึกคิดในตนเองเพราะหากเก่งโดยไม่รู้ใจตนเองก็ง่ายต่อการหลงผิด

ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กอัจฉริยะ คณะศึกษาศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กล่าวว่า จากการวิจัยพบว่าในทุกโรงเรียนและเกือบทุกชั้นเรียนมีเด็กอัจฉริยะประมาณร้อยละ 1 ของเด็กทั้งหมด ซึ่งหากมีระบบส่งเสริมสนับสนุนที่ดี เราก็น่าจะมีอัจฉริยะบุคคลระดับไอน์สไตน์ได้ แต่ระบบปัจจุบันไม่เอื้อให้เด็กฉายแววออกมา นอกจากนี้ยังพบว่ามีครูผู้สอนจำนวนหนึ่งที่เกิดความรู้สึกอิจฉาเด็ก โดยเห็นว่าในเมื่อเด็กเก่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาถาม ซึ่งตรงนี้ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง “ขณะนี้เราได้ทำคู่มือสำรวจแววความสามารถพิเศษขึ้นมาใหม่ ซึ่งครูสามารถนำไปสำรวจแววความสามารถพิเศษในเด็กนักเรียนได้ ส่วนคู่มือที่จัดทำก่อนหน้านี้ยังไม่ใช่คู่มือในการทดสอบเด็ก แต่เป็นการรวบรวมบุคลิกลักษณะของมนุษย์ ซึ่งมีแววความสามารถต่าง ๆ จำนวน 10 แวว ไว้ให้ครูใช้สังเกตเด็กในเบื้องต้น ซึ่งมีการนำไปใช้ผิดกันมาก แต่คู่มือใหม่นี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า” ผศ.ดร.อุษณีย์กล่าว...

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อายุ 3 ประภท

เราเคยได้ยินคำว่าอายุ เป็นเพียงตัวเลข มักจะตีความไปในทางที่ม้จะมีอายุเพิ่มขึ้น แต่วัยไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม บางคนนั่งดูกตัวเองในกระจกง มีความรู้สึกว่าปีนี้แก่ขึ้นมาก หรือบางคนไม่รู้ถึงความแตกต่าง จากที่กล่าวมาพอจะประมวลได้ว่าอายุของคนมี 3 แบบ คืออายุตามปฏิทิน อายุตามชีววิทยา และอายุตามจิตวิทยา

สำหรับอายุตามปฏิทินมีความคงตัวตามเวลาที่ผ่านไป เป็นอายุที่อาจผิดพลาด ไม่น่าเชื่อถือเมื่อคิดตามอายุตามชีววิทยาและอายุตามจิตวิทยา คนที่อายุ 50 ปีอาจดูเหมือนกับคนอายุ 30 ปี แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มองคนอายุ 30 ปีเหมือนกับคน 50 ปี อายุทางชีววิทยาสามารถที่จะบอกได้ว่าเวลาส่งผลให้อวัยวะ เนื้อเยื่ออย่างไร ที่สามารถนำไปเปรียบเทียบกันได้ ใครฟิต เสื่อมถอยมากกว่ากันขณะที่อายุตามปฏิทินเท่ากัน อาจกล่าวได้วา เนื้อเยื่อและอวัยวะของแต่ละคนแก่หรือเสื่อมลงตามตารางเวลาของตัวเอง นั้นคือไม่เท่ากันในแต่ละคน (แล้วแต่ผลกรรมจากการปฏิบัติ) คนที่ออกกำลังกายอยู่เสมออวัยวะหลายส่วนที่ยังทำงานได้ดีกว่าคนในวัยเดียว กัน

สำหรับอายุตามจิตวิทยา เป็นอายุตามความรู้สึกของแต่ละคน มีความสลับซับซ้อน เช่นเดียวกับอายุทางชีววิทยาที่ไม่มีใครที่มีอายุทางจิตวิทยาเหมือนกัน เพราะไม่มีใครที่จะสั่งสมประสบการณ์มาเหมือนกัน เพราะการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในเรื่องเดียวกันก็ส่งผลต่อความรู้สึกต่างกัน สำหรับความรู้สึกต่อความแก่ นั่นถ้าเราคิดว่าแก่รู้สึกว่าแก่ก็อาจส่งผลให้แก่จริง หรือเมื่อรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า เคลียด ก็ส่งผลให้แก่และตายเร็วได้

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทำไม1โหลต้องมี12ชิ้น

ทำไมของ1โหลต้องมี12ชิ้นจำนวน 12 ในหนึ่งโหลของไทยนั้นสัมพันธ์กับระบบนับจำนวนของต่างชาติ ซึ่งมีคำว่า dozen (โดซเซ่น) หมายถึง 12 เช่นเดียวกัน ย้อนกลับไปหาที่มาคำว่า dozen ถือกำเนิดจากชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมีย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชนชาติแรกที่สร้างสัญลักษณ์การนับตัวเลขในชีวิตประจำวันด้วยการเปล่งเสียงเรียก ต่อมาในช่วง 3,100 ปี ก่อนคริสตกาล ......ชาวสุเมเรียนเขียนจำนวนตัวเลขเป็นรูปลิ่ม และสร้างระบบจำนวนขึ้นมา จากฐาน 60 ซึ่งง่ายต่อการหารด้วยจำนวนต่างๆ แบ่งเป็นแฟ็กเตอร์ (ส่วนที่คูณกันขึ้นเป็นจำนวน) ได้แก่ 2, 3, 4, 5, 6, 10, 12, 15, 20, และ 30 คำว่า dozen มีความหมายมาจาก "5 ส่วนของ 60" (12 คูณ 5 เท่ากับ 60) ภาษาละตินหมายถึง 12 ขณะที่ชาวโรมันถือว่าเลข 12 เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาสร้างระบบการนับปี แบ่งให้มี 12 เดือน ส่วนพ่อค้าแม่ขายในในสมัยโบราณก็นิยมใช้ 12 ขายของ เพราะสะดวกและแยกส่วนได้ง่ายกว่าเลข 10 และใช้เรื่อยมาจนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า ในช่วงยุคกลางของอังกฤษ พ่อค้าขนมปังจะต้องถูกลงโทษหนัก หากตัดขายขนมปังในน้ำหนักที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่พ่อค้าขนมปังในยุคนั้นก็ไม่ได้มีความรู้นับจำนวนอะไร กลัวจะพลาดระหว่าง 11 ก้อนกับ 12 ก้อน จึงหันไปใช้วิธีกันเหนียว คือตัดขนมปัง 13 ก้อนเวลาที่จะขายขนมปังหนึ่งโหล กรณีนี้หนึ่งโหลเลยมี 13 ชิ้น ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ส่วนนักจิตวิทยาบางคนเคยทดสอบความแตกต่างระหว่างคนที่ชอบเลข 12 มากกว่าเลข 10 ว่าเป็นคนที่ยืดหยุ่นและอ่อนโยนกว่า อันนี้ก็ฟังไว้เล่นๆ ได้ ข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดีย ระบุว่า โหลมาจากภาษาอังกฤษว่า Dozen รากศัพท์ภาษาละตินว่า duodecim เชื่อว่าเป็นการนับเลขรวมกลุ่มแบบแรกๆ เพราะตัวเลข 12 มาจากฐานการนับรอบดวงจันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ รู้จักว่าเป็นระบบจำนวนฐานสิบสอง หรือทวาทิศนิยม (duodecimal system) 12 โหลเรียกว่า 1 กุรุส (a gross) การนับโหลสะดวกสบาย เพราะตัวคูณและพหุคูณคิดได้ง่าย เช่น 12 เท่ากับ 3 X 2 X 2 หรือ 360 เท่ากับ 20 X 3

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความสำคัญของการรักษาคำพูด

"หนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จต้อง รักษาคำพูด รักษาสัญญา"
คำมั่นสัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ การไม่รักษาคำพูดอาจทำให้เสียมิตรที่กลายไปเป็นศัตรู นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกล่าวไว้ว่า “หนทางที่ดีที่สุดที่จะรักษาคำพูด ก็คือ อย่าพูดให้สัญญากับใคร” ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง หากเราลองได้พิจารณาคำพูดนี้อย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกของตัวเองนั้น เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "การรักษาสัญญาหรือคำพูดเป็นนิสัยที่ควรฝึกฝนให้ติดตัว เพราะเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความสำเร็จที่มั่นคงในชีวิตได้" หากเราต้องติดต่อกับใครแล้วอยากให้เขาเชื่อใจ ไว้ใจอยากทำงาน อยากให้เค้ามีความรู้สึกดีดีให้ เราต้องรักษาสัญญา รักษาคำพูด
ความบาดหมาง ความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นไม่ว่าจะในครอบครัว หรือในช่วงชีวิตประจำวัน อาจมีที่มาจากเรื่องของการไม่รักษาคำพูดก็ได้ เช่น สามีรับปากอาสาว่าจะหาซื้อของมาให้ภรรยา ทำให้ภรรยาคาดหวัง ณ ขณะนั้นและเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ที่สามีรับอาสาจะซื้อของที่เธอกำลังอยากได้มาให้ แต่แล้วผ่านไปนับเดือน ภรรยาก็ยังไม่ได้รับของจากสามีเลย ซ้ำเมื่อทวงถามก็ได้รับคำตอบว่ายังไม่ว่าง ทำให้ภรรยาเกิดอาการน้อยอก น้อยใจ ที่สามีไม่รักษาคำพูดและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอเลย ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ที่รับปากลูกว่าจะให้โน่น ให้นี่ ถ้าลูกเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่ง หรือเมื่อลูกทำตามที่พ่อแม่ต้องการ แต่พอถึงเวลากลับเมินเฉยไม่พูดถึง เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจใคร หรืออาจเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ เชื่อใจ เพราะคิดว่าการพูดปดเป็นเรื่องปกติที่เคยเห็นพ่อแม่ทำกับตน
หลักการง่ายๆ ของการรักษาคำพูด ก็คือ
- คิดไตร่ตรองก่อนว่าสามารถทำได้จึงรับปากหรือให้สัญญา ต้องรอบคอบ และไม่รับปากไปด้วยความเกรงใจ
- คำนึงถึงจิตใจของคนที่เราพูดด้วย ต้องรักษามิตรภาพ และความสัมพันธ์ด้วยการรักษาสัญญา
- ให้คุณค่าในการระวังรักษาคำพูด คิดก่อนพูด วางแผนก่อนทำ ต้องมั่นใจว่าทำได้
- พยายามรักษาคำพูดอย่างสุดความสามารถ พูดจริง ทำจริงอย่างที่พูด โดยฉพาะคนที่เป็นผู้นำที่อยากให้คนเชื่อถือ
- หากเรารักษาคำพูดไม่ได้ ต้องยอมรับผิด และกล้ารับความจริง ไม่ควรปกป้องตัวเอง หรือหาข้อแก้ตัวให้พ้นผิดอย่างน้ำขุ่นๆ
จะเห็นได้ว่า เรื่องง่ายๆ ธรรมดาที่เราท่านอาจมองข้ามไป ลองดูสิคะว่าตัวอย่างรอบตัวที่เราเห็น เวลาคนอื่นไม่รักษาคำพูดหรือสัญญาที่ให้ไว้กับเรา เรารู้สึกอย่างไร ดังนั้นต่อไปเราก็ควรระมัด ระวังในเรื่องนี้มากขึ้น แม้แต่เวลานัดกับใคร ถ้าเราเป็นคนตรงต่อเวลาสม่ำเสมอ คนที่นัดหมายกับเราเขาย่อมเกรงใจ แล้วต้องมาตามนัดด้วยเช่นกัน เวลาอยู่ในที่ทำงานถ้าเราต้องทำงาน ประสานงานกับคนอื่น รับปากที่จะส่งมอบงานให้เขาวันใด ก็ต้องไม่ผิดคำพูด จึงจะทำให้เขาเชื่อถือไว้วางใจได้ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือเจ้านายของเราเอง

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Microsoft Visual C++

http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=27D967AF7C1RLZVUYS7VOZEJHZ3MAT
part1
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=27D967AF808MLIALRAFXDPH6GGDZU5
part2
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=27D967AF81I5DEGWBC6I7767LTVYY4
Demon tools มีวิธีใช้ให้แล้วเรียบร้อย ^.^

อันนี้เป็นไฟล์ iso นะ ต้องใช้โปรแกรม Demon tools ทำเป็นไดร์เสมือน
ลองใช้ดูนะ

จริงหรือไม่ ! เคี้ยวนานทำให้ฉลาด

ทุกวันนี้เพื่อนๆกินข้าวกันเร็วขนาดไหน แล้วเพื่อนๆรู้ไหมว่าการเคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
"อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้วปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์ "
การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ
ผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้
การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ
การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดอาการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหารนอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย
การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
เมื่อทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว ลองหันกลับมามองตัวเองหรือคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ชอบเคี้ยวข้าวเร็วยังไม่ทันละเอียดก็รีบกลืน ผลลัพธ์ที่ตามมามีให้เห็นมากไม่ว่าเรื่องของท้องผูก อาหารไม่ย่อย ร้องโอดโอยกันยกใหญ่

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีเวลาเพื่อนๆก็เคี้ยวกันให้นานหน่อยนะ

อันตรายจาก...กระจก

เพื่อนๆ รู้จัก กระจกที่มีสองด้าน หรือที่เรียกกันว่า 2 Ways Mirror ไหม คะ คือกระจกที่สามารถ มองเห็นได้อีกด้านหนึ่งค่ะ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเห็น เราได้ แต่เราไม่เห็นเขา สิ่งที่เราเห็น เป็นเพียงภาพสะท้อน ของตัวเราเองไงคะ ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปเข้าห้องน้ำ ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ เราคงไม่เคยคิดเลย ว่า กระจกที่เราส่องอยู่ตรงหน้านั้น อาจจะมีคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แอบดูเราอยู่ ก็เป็นไปได้ แม้แต่ห้องน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามโรงแรม เราจะไว้ใจได้ อย่างไรล่ะค่ะ?

ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็มีวิธีทดสอบ กระจกสอง ด้าน แบบง่ายๆ สำหรับสาวๆ ให้จดจำและ นำไปใช้ได้นะคะ การจะพิสูจน์กระจกสองด้าน โดยการมองด้วยตาเปล่านั้น เราไม่สามารถทำได้ค่ะ ซึ่งสาวๆ สามารถใช้วิธี ทดสอบ ด้วยปลายเล็บของคุณ นี่แหละค่ะ

วิธีปฏิบัติก็คือ ชี้ปลายเล็บไปที่ กระจก ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณ กับเงาที่สะท้อนในกระจกนั้น มีช่องว่างเล็กๆ คั่นกลางอยู่ แสดงว่านั่นคือกระจก ที่ใช้สำหรับส่องจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าระหว่างปลาย เล็บของคุณ ชิดติดกับเงา ที่สะท้อนโดยตรงแล้ว นั่นหล่ะค่ะ กระจกสองด้านของจริง เลยหล่ะค่ะ เพราะฉะนั้น สาวๆ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ Virtually Raped ของพวกบ้ากาม ถ้ำมอง เวลาไปเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่อื่น ก็ ควรสละเวลา ไม่ถึง 10 วินาที กับการทดสอบด้วยปลายเล็บนะคะ วิธีทดสอบนี้ ได้ผล จริงๆ ค่ะ

เชื่อเถอะ ลองไปจิ้มกระจกที่ห้องดูก็ได้นะคะ...เราลองแล้วกระจกส่องธรรมดาจะมีช่องว่างจริงๆ แต่ถ้าไปตามห้องน้ำที่อื่น แล้วเล็บเราติดกัน....!!!!!!!!!

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิธีการง่ายๆลดโลกร้อน

หัวข้อนี้เพื่อนๆคงอ่านและรู้กันมาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นจะขอคัดแต่
วิธีการที่(คิดว่า)เพื่อนๆยังไม่รู้กันนะครับ ^.^
สำคัญที่สุด..
เพื่อนๆต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะช่วยหยุดโลกร้อน
จำให้ขึ้นใจต้องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
และเลือกใช้พลังงานสะอาด มาดูกันเล้ย...

§ อาบน้ำด้วยฝักบัว
ประหยัดกว่าตักอาบหรือใช้อ่างอาบน้ำถึงครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 10 นาที
ปิดน้ำขณะแปรงฟัน ประหยัดได้เดือนละ 151 ลิตร
§ใช้น้ำร้อนให้น้อยลง
การทำน้ำร้อนใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง
จะลดคาร์บอนไดออกไซด์์ได้ 159 กิโลกรัมต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็นจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 227 กิโลกรัม
§ใช้ตู้เย็นแบบ 2 ประตู
ขนาดความจุ 400 ลิตร ตั้งอุณหภูมิที่ 3-5 องศา และ -17 - -15 องศาในช่องแช่แข็ง มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟมากที่สุด
§ใช้แล็บท็อปจอแบน
ประหยัดไฟมากกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะถึง 5 เท่า จำไว้ screen server
และหมวดสแตนบายด์ไม่ได้ช่วยประหยัดไฟ พลังงานที่เสียไปเท่ากับซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ได้ 1 เครื่อง
และพริ้นเตอร์เลเซอร์ประหยัดพลังงานมากกว่าอิงค์เจ็ท

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไขรหัสเลขบัตรประชาชน

ถ้าให้ลองนึกถึงเลข 13 แล้วหลายๆคนคงจะคิดถึงเลชอาถรรพถ์กันใช่มั๊ยคะ แต่วันนี้อยากจะลองเปลี่ยนทัศนคติของเพื่อนดูหน่อยนะคะว่า เลข13เนี่ยไม่ได้มีแต่สิ่งไม่ไดอย่างที่คิดกันค่ะ
เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้ สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้
หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่
ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี
ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า
ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง
การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ
ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12
ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133
ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น
สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น
หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ
หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที
สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ
เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548
ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น อันเป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้
เอ้า !! รีบหยิบบัตรประชาชนมาดูเร๊วว..

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อมูลสิ่งแวดล้อม

สืบเนื่องจากที่ได้ให้ทุกคน ดำเนินการหาแฟ้มข้อมูลประเภทต่างๆ และตัวอย่าง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นท่านผู้กล้าท่านใด ได้ดำเนินการ

อาจารย์ขอแนะนำ Website ฐานข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมนะคะ

แล้ว เจอกัน ร่วมเรียนรู้ด้วยกันนะคะ

อาจารย์จงดี

http://www.pcd.go.th/info_serv/database.html

CVS. โรคร้ายจากคอมพิวเตอร์

ยุคนี้ไม่ว่าใครก็ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานกันทั้งนั้น บางคนนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง และคุณทราบไหมคะว่าการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกวิธีอาจทำให้คุณมีอาการผิดปกติที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome หรือ CVS ซึ่งจะคุกคามสุขภาพของเราได้ค่ะ..

นี่แหละอาการ CVS Computer Vision Syndrome หรือ CVS

คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งมักจะเกิดอาการดังนี้ค่ะ...-

  • เมื่อยล้าในลูกตา
  • ปวดเบ้าตา
  • มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา ตามัวหรือเห็นภาพซ้อน รู้สึกไม่สบายตา
  • ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแห้ง แสบตา
  • มีรอยดำคล้ำบริเวณตา หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา

นอกจากนี้อาจจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลังอีกด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะพบในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันเป็นประจำค่ะ

สาเหตุ CVS

อาการปวดตาและแสบตาเกิดขึ้นจากการที่ตาแห้งและกล้ามเนื้อตาเกร็งตัวเนื่องจากลืมกะพริบตาเพราะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป สามารถแก้ไขได้โดยกะพริบตาบ่อยๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าปวดตาหรือแสบตา อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาบ้างก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดตาและแสบตาได้เช่นกัน ส่วนอาการตามัวหรือปวดศีรษะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อพักสายตาแล้วส่วนใหญ่อาการก็จะดีขึ้นค่ะ


นอกจากนี้แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ และการที่แสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแสงสว่างในห้องไม่เหมาะสม ทำให้ต้องเพ่งสายตาทำงานในระยะใกล้เป็นเวลานานๆ ก็ทำให้กล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการเพ่งมองเกิดตึงและเกร็งก็จะนำมาซึ่งอาการปวดตาและปวดศีรษะได้ค่ะ ส่วนอาการอื่นๆ มีผลจากการวางคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้องนั่งในท่าผิดปกติเป็นระยะเวลานาน จนเกิดปัญหากับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดที่กระดูกข้อมือ ปวดไหล่ ปวดคอ รวมถึงปวดหลังได้ค่ะ

การป้องกัน CVS คุกคาม

  1. วางจอคอมพิวเตอร์ให้มีระยะห่างจากระดับสายตา 20 – 24 นิ้ว และวางอยู่ระดับที่ต่ำกว่าระดับสายตา 10 – 20 องศา ซึ่งเป็นมุมในการมองคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้สบายตาที่สุด
  2. ปรับแสงสว่างเหมาะสม เริ่มต้นที่ความสว่างของห้องเพียงพอ ส่วนความสว่างบริเวณรอบจอและความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับให้สว่างเท่าๆ กับความสว่างของห้อง เพื่อไม่ให้แสงจ้ามากเกินไป
  3. ใช้แผ่นกรองแสงเพื่อช่วยลดแสงสะท้อนติดที่หน้าจอ และจัดแสงภายในห้องทำงานไม่ให้มีแสงสะท้อนมาที่จอคอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้แสงสว่างสะท้อนเข้าตามากกว่าปกติ และแสงสะท้อนยังทำให้หน้าจอสว่างจนมองเห็นไม่ชัดเจนจึงต้องเพ่งสายตามากเกินไปค่ะ
  4. ขนาดของตัวหนังสือบนหน้าจอควรจะมีขนาดประมาณ 3 เท่าของขนาดตัวหนังสือที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้จากจอคอมพิวเตอร์ในระยะเดียวกัน ส่วนสีของตัวหนังสือควรเป็นสีดำบนพื้นสีขาวค่ะ
  5. ฝึกนิสัยกะพริบตาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีการคลายกล้ามเนื้อ และพักสายตาที่ใช้ในการมองใกล้โดยให้มองไปในที่ไกลๆ นานประมาณ 1-2 นาที อย่างน้อย 1-2 ครั้งทุกชั่วโมง และหยุดพักการทำงานประมาณ 5-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง
  6. หากสายตายาว ควรใช้แว่นสายตาชนิด Progressive lens ซึ่งมีช่วงการมองหรือจุดโฟกัสหลายระดับ โดยเฉพาะที่สำคัญคือระยะกลาง (intermediate zone) ซึ่งเป็นตำแหน่งของจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ควรเลือกเลนส์แว่นตาแบบเคลือบสารที่ป้องกันการสะท้อนเพื่อช่วยลดการสะท้อนของแสงเข้าตาค่ะ
  7. สำหรับปัญหาปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลัง นอกจากจะแก้ด้วยการจัดระดับจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมแล้ว ท่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องก็มีความสำคัญ โดยควรนั่งตัวตรง เอนหลังไปด้านหลังเล็กน้อย แขนทั้งสองในขณะกดแป้นพิมพ์ให้อยู่ในแนวขนานกับพื้น ส่วนเท้าควรวางราบกับพื้นค่ะ

ยังงัยก็ดูแลตัวเองกันด้วยน๊า....

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้นนะ ^^ (ตอนที่1)


เพื่อนๆหลายคนคงจะรู้จักADSLกันดีนะคับ แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับADSLมากขึ้น...

ลองอ่านดูนะคับ^^



ADSL มาจากคำว่า Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง ให้เป็นเส้นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ADSL สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไป (ส่วนจะได้ความเร็ว กว่า 6 Mbps หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมทั้งระยะทางการเชื่อมต่ออีกด้วย) ความเร็วขณะนี้ มากเพียงพอสำหรับงานต่างๆ ดังต่อไปนี้ - งาน Access เครือข่าย อินเทอร์เน็ต- การให้บริการแพร่ภาพ Video เมื่อร้องขอ (Video On Demand)- ระบบเครือข่าย LAN- การสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานที่ทำงานกับบ้าน (Telecommuting)ประโยชน์จากการใช้บริการ ADSL - ท่านสามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก - ท่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา - การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด - ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป - ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน - ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน - สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลบน ADSL ADSL ที่ว่าทำงานเร็ว นั้นเร็วเท่าใดกันแน่ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ADSL มีอัตราความเร็วขึ้นอยู่กับชนิด ดังนี้- Full-Rate ADSL เป็น ADSL ที่มีศักยภาพในการส่งถ่ายข้อมูลข่าวสาร ที่ความเร็ว 8 เมกกะบิต ต่อวินาที - G.Lite ADSL เป็น ADSL ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลข่าวสารได้สูงถึง 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที ขณะที่กำลัง Download ความเร็วขนาดนี้ คิดเป็น 25 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ขนาด 56K และคิดเป็น 50 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem ความเร็ว 28.8K - ผู้ให้บริการ ADSL สามารถให้บริการ ที่ความเร็วต่ำขนาด 256K ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ อัตราความเร็วขึ้นอยู่กับ ระดับของการให้บริการ จากผู้ให้บริการ โดยปกติแล้ว Modem ที่เป็นระบบ ADSL สามารถ Download ข้อมูลได้ที่ความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที ไปจนถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ มาตรฐาน G.lite ที่กำลังจะมาใหม่ สามารถให้บริการที่อัตราความเร็วเป็น 1.5 เมกกะบิตต่อวินาทีADSL สามารถทำงานที่ Interactive Mode หมายความว่า ที่ Mode การทำงานนี้ ADSL สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล ที่ความเร็วมากกว่า 640 Kbps พร้อมกันทั้งขาไปและขากลับขีดความสามารถของ ADSLเทคโนโลยีของ ADSL เป็นแบบ Asymmetric มันจะให้ Bandwidth การทำงานที่ Downstream จากผู้ให้บริการ ADSL ไปยังผู้รับบริการสูงกว่า Upstream ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลจากผู้ใช้บริการหรือลูกค้า ไปยังผู้ให้บริการวงจรของ ADSL จะเชื่อมต่อ ADSL Modem ที่ทั้งสองด้านของสายโทรศัพท์ ทำให้มีการสร้างช่องทางของข้อมูลข่าวสารถึง 3 ช่องทาง ได้แก่- ช่องสัญญาณ Downstream ที่มีความเร็วสูง - ช่องสัญญาณ ความเร็วปานกลางแบบ Duplex (ส่งได้ทางเดียว) - ช่องสัญญาณที่ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน ช่องสัญญาณ Downstream ความเร็วสูง มีความเร็วระหว่าง 1.5-6.1 Mbps ส่วนอัตราความเร็วของช่องสัญญาณแบบ Duplex อยู่ที่ 16-640 Kbps นอกจากนี้ ในแต่ละช่องสัญญาณยังสามารถแบ่งออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ ที่มีความเร็วต่ำ ที่เรียกว่า Sub-Multiplex ได้อีกหลายช่องADSL Modem สามารถให้อัตราความเร็วการส่งถ่ายข้อมูลมาตรฐานเทียบเท่า North American T1 1.544 Mbps และ European E1 2.048 Mbps โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการความเร็วได้หลายระดับ ระยะทางและอัตราความเร็วของ ADSL ระยะทางมีผลต่ออัตราความเร็วในการให้บริการของ ADSL เป็นอย่างมาก โดยมีปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดความยาวสาย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวด อุปกรณ์ Bridge Taps รวมไปถึงการกวนกันของอุปกรณ์ Cross-Coupled ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ความเสื่อมถอย (Attenuation) ของสัญญาณเกิดขึ้น เมื่อความยาวของสายทองแดงมีมากขึ้น รวมทั้งความถี่ ซึ่งค่านี้จะลดลงเมื่อเพิ่มขนาดของสาย อย่างไรก็ดี งาน Application ที่ต้องใช้บริการ ADSL ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Compressed Digital Video เนื่องจากเป็นสัญญาณประเภททำงานแบบเวลาจริง (Real-Time) ด้วยเหตุนี้ สัญญาณ Digital Video เหล่านี้ จึงไม่สามารถใช้ระบบควบคุมความผิดพลาด แบบที่มีอยู่ในระดับของเครือข่ายทั่วไป ดังนั้น ADSL Modem จึงมีระบบ ที่เรียกว่า Forward Error Correction ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้นโดยสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาสั้นมาก หรือที่เรียกว่า Impulse Noise โดย ADSL Modem จะใช้วิธีการตรวจสอบความผิดพลาดที่ทำงานบนพื้นฐานของ การกำหนดให้มีการตรวจสอบสัญญาลักษณ์ทีละตัว การทำเช่นนี้ ก็ยังช่วยให้ เป็นการลด ปัญหาการควบของสัญญาณรบกวนในสาย


สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคับ แล้วครั้งหน้าเราจะมีหลักการทำงานของADSLมาต่อกัน


To be continue...

ผู้ชายประเภทที่ใกล้สูญพันธุ์

ขอโทษนะคร้าบที่มารบกวน คือเราเป็นผู้ชายนะ(100%) แต่เนื่องด้วยมันมีข้อสงสัยมากๆที่ผู้ชายตอบม่ายได้ ขออโทษอีกทีที่มาบกวนเริ่มเลยละกัน... ผู้ชายประเภทที่เราบอกว่าใกล้สูญพันธุ์(หายาก มั้ง?) คือ ผู้ชายที่สรุปโดยรวมคือ เป็นผู้ชาที่มี "ภาวะผู้นำสูง" สูงยังไงมาฟังกันนะ (อันนี้เราพยามดูบุคลิกลักษณะของเพื่อนเราในกลุ่มงับ แล้วเอาที่มันตรงๆมาพูดถึง) เป็นคนที่มีความกล้าแสดงออกสูง สามารถแสดงความคิดเห็น พูดปราศรัยในที่สาธารณะชนได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่มีสคริป ต่อหน้าคนเป็นร้อยคน เป็นพันคนได้(อันนี้ไม่รู้ผู้หญิงจะเรียกว่าหน้าด้านรึเปล่าเนี่ย?) เป็นคนที่รู้จักการวางตัวมาก แต่ส่วนใหญ่ต้องทำตัวให้ดูภูมิฐาน(เพื่อรักษาความหน้าเชื่อถือ ต่อหน้าผู้คน) แต่ก็เป็นไปตามกาลเทศะ แบบว่าเล่นเป็นเล่น งานเป็นงาน เวลางานจะสุขุมเยือกเย็น(มั่กๆๆ) จนไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำไปว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่อเวลาเลนก็ปลดปล่อยเต็มที่บางครั้งประมาณว่าหน้ามือเป็นหลังมี เล่นเปมือนเด็กปัญญาอนด้วยซ้ำไป(คงเพราะเครียดหนักล่ะมั้ง) การพูดส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปด้านของเหตุผล และมีปรัชญา คำคมแอบแฝงอยู่บ่อยๆ เป็นคนที่มีศัยทรรกว้างไกลกว่าคนในวัยเดียวกัน มันมองไปหน้าในระยะยาวแล้วเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน(การวางแผนทีละขั้น) มากกว่าจะมองตัวเองแล้วคิดจากปัจจุบันไปถึงอนาคต(เพ้อฝัน) สามารถแสดงความคิดเห็นได้หลายแง่มุมมากกว่าคนอื่น สามารถมองเรื่องเรื่องเดียวได้มากกว่าสองมุมเสมอ โดยไม่ต้องฟังจากคนอื่นมาก่อน มีจิตวิทยาสูง(อันนี้สำหรับผมว่าน่ากลัวที่สุดแล้วล่ะ) มีทักษะการโน้มนาวใจสูง(เป็นทักษะพื้นฐานที่มันมีกันทุกคน) แต่ที่สูงไปกว่านั้นคือ นิสัยความเคยตัวที่จะจับจุดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา(วิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรคิดอะไรอยู่) แต่ไม่แสดงออก หรือไม่ขัดอีกฝ่ายเลย กลับจะชอบวางเส้นทางให้เป้าหมายเดินมากกว่าจะไปขัดแย้งหรือพยามเปลี่ยนใจอีกฝ่ายให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน หากแต่ทำตัวกลมกลืนแล้วค่อยลงมือจะดีกว่า พวกนี้เก็บความรู้สึกได้ดีสามารถยิ้มแล้วยกย่องสรรเสริญศัตรูได้ด้วยซ้ำไป แต่ถ้าสำหรับเจอพวกเดียวกันเองก็มักจะเป็นเพื่อนกันแบบไม่ต้องคิดมาก ถ้าคิดมากก็จะรแวงกันเองจนเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้มากกว่า(ประมาณว่าคนประเภทเดียวกันนี้เป็นเพื่อนกันดีกว่า อย่าเป็นศัตรูเลยมันจะหนักมือเปล่าๆ เอิ้กๆ) เป็นคนมีไหวพริบสูง(ต่อจากข้อเมื่อกี้) สามารถที่จะใช้สภาพแวดล้อมสร้างสรรค์เป็นสถานการณ์เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อเจตนาได้เสมอ(ประมาณว่าในบางการกระทำมันมีความหมายซ้อนเร้น ซึ่งมันลึกซึ้งเกินกว่าที่คนรอบข้างจะมองออกด้วยซ้ำ) กับคำว่า"เพื่อน" อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันเพราะหลายคนที่ผมไปดูมามันก็ให้ความหมายไว้เยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นว่าเพื่อนก็คือเพื่อน(งงไหมนี่ ประมาณว่าก็คือๆคำว่าเพื่อนที่แบ่งเป็นหลายแบบตามคนปกติทั่วไปเข้าก็มีกัน) แต่ที่แตกต่างออกไปเห็นจะเป็นคือ มักจะปกติความคิดและความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักเพื่อนนะ แล้วก็จะมีอีกชั้นหนึ่งเห็นเรียกกันว่า "สหาย" ประมาณว่าเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย(ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเดียวกัน) ไปไหนไปกัน ลุยด้วยกัน(ร่วมทุกร่วมสุขปามาณนี้ เพื่อนตายว่างั้นซึ่งสมัยนี้หายาก แต่ทำไมพวกนี้มันอยู่ด้วยกันแล้วเป็นเพื่อนตายกันได้ไง เยอะด้วย อันนี้มก็ยังงงอยู่เช่นกัน อิอิ) เป็นคนมีอุดมการณ์(ไม่ถึงขั้นบ้านะ) มีความเสียสละสูง มองเห็นควาลำบากของคนอื่นไม่ว่าจะมากน้อยเท่าไร พร้อมจะช่วยอย่างเต็มที่ แต่ไม่เคยมองเห็นความลำบากของตัวเองเลย และมีทัศนคติกับความรักว่า "ถ้ามีผู้หญิงที่คู่กับเรา เราจะรักผู้หญิงคนนั้นที่สุดในโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักมากกว่ารักคนทั้งโลกรวมกัน" อ่ะนะแนวๆว่าเกิดมาเพื่อนผู้คนไม่ใช่เกิดมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง (อันนี้ผู้หญิงจะรับได้ไหมนี่ เอิ้กๆ) และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม มากกว่าความรับผิดชอลต่อตนเอง(ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นรอด) มีความยืดหยุ่นสูง คือ สามารถทำงานได้ทุกรูปแบบโดยไม่ปริปากบ่น(ถ้างานนั้นมันไม่ทรยศต่อความรู้สึก) จะเป็นคนที่เข้าหางานเป็นคนแรก ไม่ต้องรอให้ใครสั่ง มีความมุ่งมั่นและตั้งใจสูงเมื่อลงมือทำงานแล้ว และที่สำคัญเป็นคนที่มีความเด็ดขาดสูงจะไม่มีทางล้มเลิกหากตัดสินใจลงไปแล้ว (ทำงานกรรมกรแบกหาม ยันนั่งประชุมบริหารองค์กรได้) เป็นผู้ชายที่มความฝัน มักฝันใหญ่ เชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองมากกว่าโชคชะตา มีความทะเยอทะยานในตัวเองสูง(แต่ต้องไม่มีใครเดือดร้อนเพราะความทะเยอทะยานของตัวเอง) ชอบเข้าหาผู้คนมากมายเพื่อเรียนรู้แนวความคิด เปิดกว้างทรรศนะ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ชอบที่จะสร้างอะไรด้วยตัวของตัวเองมากกว่า ที่จะไปเอาอย่างคนอื่น ต้องการเป็น"ผู้นำ"มากกว่า"ผู้ตาม" ต้องการที่จะปกป้องดูแลคนส่วนมาก ต้องการฝากรอยเท้าให้คนอื่นเดินตาม...หมดแระ จึ๋ย ลืมบอกไปว่าผู้ชายพวกนี้ที่มรู้จักส่วนใหญ่อยู่ ม.ปลาย กันทั้งนั้น ซึ่งผมว่ามันมีความคิดแก่เกินเด็กจังอ่ะ แล้วงี้สาวๆรุ่นเดียวกันจารับได้ไหมนี่ เหอะๆคราวๆก็เป็นประมาณนี้แหละ จริงๆมีอีกเยอะ แต่ที่ผมตัดสินใจเล่ามาก็เพื่อที่จะถามว่า ผู้หญิงจะเป็นผู้ชายประเภทที่ผมเล่านี้เป็นยังไงบ้าง รับตรงไหนไม่ได้บ้าง? และถ้าจะปรับปรุงควรปรับตรงไหน?(ผมสงสัยนะ เพราะเพื่อนๆผมพวกนี้แทบจะไม่มีแฟนกันเลย ถึงมีก็เลิก ไม่รู้เพราะว่ายุ่งจนไม่มีเวลาให้ หรือผู้หญิงรับไม่ได้กันแน่ เอิ้กๆ ช่วยตอบหน่อยนะง้าบ ผมก็กลัวว่าอยู่ไปนานๆ เดี๋ยวหญิงจะหนีกันหมด (หน้าหม้อซะงั้น อิอิ))และอีกคำถาม ท่านผู้หญิงทุกท่านพบผู้ชายประเภทนี้บ้างไหม? มันใกล้จะสูญพันธุ์กันไปหมดยังหว่า แล้วถ้าท่านรู้จักท่านคิดยังไงกับเขา?ปล.พวกนี่ที่มันมีความคิดแก่ก็เพราะมันทำงานเป็นเครือข่ายเยาวชนขององค์กรรัฐอ่ะนะ จะบอกว่าโดนการทำงานปลูกฝังจิตสำนึก หรือว่าล้างสมองดีหว่า(55+ ล้อเล่นงับ เดี๋ยวพาดพึงเกินไป อิอิ)

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

คนเก่งไม่ใช่มาจาก พันธุกรรม หรอก แต่อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองต่างหาก วันนี้เราก็มีเกร็ดความรู้ 5 วิธีคิดอย่างคนเก่งมาฝากกัน...
1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ
2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้า
กับชีวิตได้บ้าง
5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มัก
จะลงเอยด้วยความสำเร็จ นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย

เพื่อนๆคนไหนอยากจะเป็นคนเก่งก็ลองเอาวิธีที่เราแนะนำไปทำดูนะ แล้วจะรู้ว่าเราก็เก่งได้ไม่แพ้ใคร

from I_joe

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หนังสั้น น่าดู

เรื่อง Global warming กำกับโดย ลีโอนาโด ดิคาปริโอ

ดูแล้วได้ฝึกภาษา อังกฤษด้วย (เพราะไม่มีSub) แต่ดูแล้วเข้าใจแน่นอนครับ ^.^
http://www.leonardodicaprio.org/files/videos/globalwarning.html?q=whatsimportant/globalwarming_movie01.htm

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์คืออะไร

วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์คือการศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิสัมพันธ์ของฮาร์ดแวร์และซอพท์แวร์ ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์มุ่งเน้นในส่วนต่างๆของคอมพิวเตอร์เช่น ดิสค์ไดร์ฟ หรือวงจรหน่วยความจำ นักเขียนโปรแกรม (computer programmer) ที่พัฒนาโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน

เทอม คอมพิวเตอร์ นั้นยากที่จะกำหนด ครั้งหนึ่งเคยกำหนดเหมือนกับเครื่องจักรใดๆ ที่จัดการข้อมูล แม้แต่เครื่องคำนวนหรือเครื่องคิดเลขก็ใช้คำนี้เรียกได้ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปคอมพิวเตอร์กำหนดให้เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูล แบบดิจิทัลหรือแอนะล็อก และประมวลผลข้อมูลให้เป็นตัวเลขหรือกราฟิก เพื่อเปรียบเทียบผู้ใช้จากเครื่องคิดเลขโดยการป้อนตัวเลขแต่ละตัวและฟังก์ ชั่นคณิตศาสตร์ด้วยมือ ในกระบวนการที่ละขั้นทีละขั้น ขณะที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลทั้งหมดโดยใช้โปรแกรมที่ฝังตัวอยู่ภายใน (หรือฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์ที่สร้างไว้อยู่ในโปรแกรม) โดยวิธีนี้จะขจัดขั้นตอนที่ทำด้วยมือออกไปเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์

computer-chip.jpg

คอมพิวเตอร์ใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทำงานด้วยจุด ประสงค์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น จุดประสงค์ทั่วไปทางการค้า เป็นเครื่องรับแปลงข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นเพื่อรับข้อมูล เป็นเครื่องควบคุมกระบวนการคอมพิวเตอร์ (คือคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมกระบวนการเช่นที่ใช้ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์) คอมพิวเตอร์บางแบบนั้นไม่ได้โตกาว่าเล็บหัวแม่มือ (ในลักษณะชิปคอมพิวเตอร์) และที่ใช้คอมพิวเตอร์ในงานเฉพาะทาง ที่โปรแกรมการทำงานไว้ภายในเครื่องจักรอื่น (ตัวอย่างเช่นภายในเครื่องเตาไมโครเวฟ หรือในเครื่องยนต์ของรถยนต์) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีกำลังสามารถมากที่สุด) ซึ่งมักจะเรียกว่า ซุปเปอร์ไมโครคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการนิยามจริงๆของคำนี้


คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ วิวัฒนาการไปเนื่องจากความก้าวหน้าสำคัญๆ หลายอย่างทางเทคโนโลยี ที่สำคัญเช่นพยายามลดการใช้พลังงานไฟฟ้าให้ลดลง การพัฒนาวงจรรวมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในขนาดที่เล็กลง ที่บรรจุทรานซิสเตอร์ลงไปได้มากขึ้น การปรับปรุงความเร็วในการทำงานและความจุหน่วยความจำที่สูงขึ้น และด้วยเทคโนโลยีวิดีโอทำให้เป็นไปได้ที่จะให้คอมพิวเตอร์แสดงผลการทำงาน ต่างๆ นอกจากนี้แล้วคอมพิวเตอร์สารขั้นสูงเป็นองค์ประกอบ ทั้งโลหะที่เป็นตัวนำ ซิลิกอนและสารแม่เหล็ก ที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบหน่วยความจำ

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Earth Day

เพื่อนๆหลายคนคงรู้จัก กับวันสำคัญต่างๆมากมาย เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ตรุษจีน
แต่ มีใครไหมที่รู้จัก Earth Day วันสำคัญของนักสิ่งแวดล้อม (คนเขียนก็เพิ่งรู้จักไม่นาน --")
ดังนั้น บทความนี้จะขอลงเกี่ยวกับเรื่อง Earth Day ก็แล้วกันนะครับ
วันคุ้มครองโลก (Earth Day) ถือเป็นวันสำคัญของขบวนอนุรักษ์ธรรมชาติทั่วโลก ตรงกับ
วันที่ 22 เมษายน ของทุกปี วันคุ้มครองโลกถือกำเนิดในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 27 ปีก่อน
ในวันที่ 22 เมษายน 2513 นักอนุรักษ์ธรรมชาติกลุ่มหนึ่งได้จัดให้มีการแสดงพลังครั้งใหญ่ เพื่อปลุกเร้า
จิตสำนึกเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันยิ่งถูกมนุษย์ทำลาย ในการแสดงพลังครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่า 20 ล้านคน
และปรากฏขึ้นตามเมืองใหญ่ ๆ เกือบทั้งสหรัฐ หลังจากนั้นความห่วงใยปัญหาสภาพแวดล้อมของสหรัฐก็เพิ่มพูนขึ้น
มีการออกกฎหมายควบคุมการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติ
สำหรับประเทศไทยเริ่มพูดถึงวันคุ้มครองโลกครั้งแรก เมื่อปี 2533 โดยเฉพาะหลังจากสืบ นาคะเสถียร
หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกระทำอัตวินิบาตกรรม และเมื่ออาจารย์และนักศึกษา
ร่วมกัน 16 สถาบันได้จัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้นเพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่า อนุรักษ์ และตระหนักถึงวิกฤตการ
ทำลายสัตว์ป่าและป่าไม้ประเทศไทย ยังมีการจัดงานเพื่อหาทุนเข้ามูลนิธิสืบนาคะเสถียร เพื่อใช้ในการปกป้องรักษาผืนป่า ที่เป็นมรดก
ของโลกอีกด้วย
น่าแปลกใจนะ Earth Day มีมานานแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้จักเลย

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 20 หัวข้อ

เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าเราไม่รู้มาก่อน มา post ให้อ่านกัน 20 หัวข้อ บางเรื่องเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงมาก่อน ข้อมูลทั้งหมดมาจาก listverse เริ่มอ่านได้เลยจร้า


1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย


10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร


13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี

17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์


18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

เป็นงัยจ๊ะ รู้กันหมดทุกข้อหรือยัง น่าทึ่งป่ะหล่ะ

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ไส้ดินสอก็ทำชิพได้ !?


บทความนี้เป็นข่าวซึ่งก้มีออกมาหลายเดือนแร้วแหละ แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะรู้กันรึยัง...ยังไงก้อลองอ่านกันดูนะคับเปนแนวความรู้ใหม่ๆ ^^


จากกฎของมัวร์ที่บอกว่า ความเร็วของชิพคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นทุกปีครึ่ง กำลังวิ่งสู่ทางตัน ยังดีไส้ดินสอธรรมดามากู้ชื่อไว้ทัน


ถ้าบอกว่า ยุคคอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้นทุกปีครึ่งตามกฎของมัวร์ (Moore’s Law) กำลังจะสิ้นสุดลง น้อยคนอาจจะเชื่อ เพราะตลอดสี่สิบปี กฎนี้ยังคงเป็นจริง ไม่มีผิดเพี้ยน


แต่ถ้าถามนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ผู้อยู่ในวงการผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์ อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านตกใจ เพราะมันกำลังจะเป็นอย่างนั้นจริงในไม่ช้า ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกกันว่า กฎของมัวร์กำลังชนกำแพง (Hitting a red brick wall) เพราะว่ามันถึงขีดจำกัดของซิลิคอน วัสดุที่ใช้ในการผลิตชิพอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน


ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงพยายามที่จะคิดค้นหาวัสดุอื่นๆ มาใช้แทนซิลิคอน ไม่ว่าจะเป็นธาตุเยอรมันเนียม หรือล่าสุดคือ ท่อคาร์บอนนาโน (Carbon Nanotube) ซึ่งเป็นท่อกลวงที่ประกอบขึ้นด้วยชั้นของอะตอมคาร์บอนม้วนเป็นท่อซ้อนกัน เมื่อนาโนเทคโนโลยีกำลังบูม และเป็นความหวังของการปฏิวัติทุกวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตด้วยแนวคิดที่จะนำท่อคาร์บอนนาโนที่มีคุณสมบัติอันวิเศษ กล่าวคือ มันสามารถเป็นวัสดุกึ่งตัวนำ (Semiconductor) หากจัดเรียงอะตอมได้อย่างเหมาะสมเพื่อใช้ลำเลียงอิเล็กตรอนในทรานซิสเตอร์แทนซิลิคอน


ความหวังดังกล่าวก็ยังมาไม่ถึงเสียทีและอาจจะมาช้าเกินไป จนทำให้กฎของมัวร์สิ้นสุดลง จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาวิธีการจัดเรียงท่อคาร์บอนนาโนในตำแหน่งที่ต้องการบนชิพได้อย่างแม่นยำ (เนื่องจากท่อคาร์บอนนาโนต้องพาดอยู่ระหว่างขั้วอิเล็กโตรดสองขั้วเพื่อทำหน้าที่เหมือนท่อนำอิเล็กตรอนผ่านไป) อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือ ต้องคัดกรองเอาเฉพาะท่อคาร์บอนนาโนที่มีการจัดเรียงตัวของอะตอมคาร์บอนที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว (ซึ่งปัจจุบันในห้องวิจัยสามารถทำได้สำเร็จด้วยการใช้มนุษย์คัดเลือกและจัดวางเองเท่านั้น) ดังนั้น อนาคตที่จะผลิตชิพที่เร็วขึ้นจากท่อคาร์บอนนาโนจึงยังไม่ใช่ความหวังของวันพรุ่งนี้


ข่าวดีก็คือความพยายามของมนุษย์ก็ยังไม่สิ้นสุด (เหมือนความพยายามในการดำรงอยู่ของสายพันธุ์มนุษย์ในธรรมชาติ) นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งได้คิดค้นวิธีการสร้างทรานซิสเตอร์ด้วยวัสดุคาร์บอนเหมือนกัน แต่เป็นในรูปของกราไฟต์ (Graphite) เป็นวัสดุเดียวกันกับไส้ดินสอสีดำนั่นแหละครับ กราไฟต์เป็นการจัดเรียงตัวของชั้นอะตอมคาร์บอนที่แผ่เหมือนกับกระดาษ ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนเพียงชั้นเดียว นักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถทำให้ทรานซิสเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้นกว่าทรานซิสเตอร์แบบซิลิคอนถึงร้อยเท่า เนื่องจากอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในกราไฟต์ด้วยความต้านทานเกือบศูนย์จึงทำให้เกิดความร้อนน้อยมาก อาจจะพูดได้ว่ามันเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีมากนั่นเอง (ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เราเคยเอาไส้ดินสอมาทดลองต่อวงจรเพื่อพิสูจน์ว่ามันสามารถนำไฟฟ้าได้ในวิชาวิทยาศาสตร์) ขณะเดียวกันซิลิคอนนำไฟฟ้าได้น้อยกว่าจึงทำให้เกิดความร้อนสูงเวลาชิพคอมพิวเตอร์ทำงานเร็วมาก จนมันละลายและทำให้วงจรเสียหาย ไม่เพียงความเร็วของการนำอิเล็กตรอนที่กราไฟต์เหนือกว่าซิลิคอนเท่านั้น แต่กราไฟต์ยังทำงานได้ดีขึ้นอีกเมื่อมันถูกลดขนาดให้เล็กลง ในขณะที่ซิลิคอนสูญเสียคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่ดีเมื่อมีขนาดเล็กกว่า 10 นาโนเมตร


นอกจากนี้ ยังค้นพบว่าเมื่อทำให้กราไฟต์เป็นริ้วหรือแถบคล้ายริบบิ้น หรือเพิ่มอะตอมของออกซิเจนให้มันแล้ว มันจะมีคุณสมบัติกึ่งตัวนำมากขึ้นจนสามารถใช้ทำเป็นทรานซิสเตอร์ได้ และกราไฟต์ยังสามารถสร้างเป็นทรานซิสเตอร์ได้ด้วยเทคนิค และเครื่องมือเดียวกันกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แบบซิลิคอนในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตชิพยักษ์ใหญ่อย่าง Intel IBM และ HP กำลังให้ความสนใจเทคโนโลยีนี้อย่างตื่นเต้น เพราะว่ามันเป็นความหวังของวันพรุ่งนี้นั่นเอง ไม่ใช่ความหวังของอนาคตอีกกี่สิบปีก็ไม่รู้


เหอๆสงสัยว่าถ้าเราอยากให้คอมเร็วขึ้นคงต้องเอาดินสอไปเสียบแทนชิบละมั้ง ^^