รู้จักกับส่วนประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ใน
การประกอบเครื่องด้วยตนเอง
ก่อนเริ่มทำการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง เราควรทำความรู้จัก
กับส่วนประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์กันก่อน เพื่อให้เข้าใจถึงหน้าที่การทำงานของ
อุปกรณ์แต่ละส่วน ซึ่งจะทำให้การประกอบเครื่องเป็นไปอย่างถูกต้องหลีกเลี่ยงความ
เสียหายที่จะเกิดจากความไม่รู้ได้อย่างมาก
ซีพียู (CPU – Central Processing Unit)
ซีพียูเป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิด
คำนวณการตัดสินใจ ทุกอย่างจะถูกนำมาประมวลผลที่อุปกรณ์ตัวนี้ทั้งหมด โดยจะ
มีการรับคำสั่งเข้ามาจากอุปกรณ์ Input เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด หรือไมโครโฟน และนำไป
แสดงผลออกทางอุปกรณ์ Output เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สำรองข้อมูล
เป็นต้น
Athlon 64 ซีพียูจากค่ายเอเอ็มดี
Pentium 4
ลักษณะของซีพียูในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ Socket ที่มีลักษณะ
เป็นสี่เหลี่ยมแบนๆ มีจำนวนขาเล็กๆ ที่เป็นโลหะไว้สำหรับเชื่อมต่อกับสัญญาณ
ภายในตัวซีพียูกับอุปกรณ์ภายนอกซึ่งจำนวนขาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อและรุ่นของ
ซีพียู โดยซีพียูที่นิยมใช้ในตอนนี้มีเพียง 2 ยี่ห้อเท่านั้น คืออินเทลและเอเอ็มดี
โดยแต่ละค่ายก็จะมีซีพียูหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ เช่นทาง ฝั่งค่ายอินเทลคือ
Pentium 4 และ Celeronใช้อินเทอร์เฟซแบบ Socket 478 และ 775 ส่วนเอเอ็มดี
นั้นเป็น Athlon XP, Athlon 64 Bit ใช้อินเทอร์เฟซแบบ Socket A ,754 และ 939
โดยแต่ละค่ายก็มีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกันไปซีพียูของอินเทลนั้นมีจุดเด่นในด้าน
การทำงานที่มีเสถียรภาพ มีความทนทานสูงและไม่ร้อนง่าย แต่มีข้อเสียคือราคาแพง
และทำงานช้ากว่าซีพียูของเอเอ็มดีในระดับความเร็วเดียวกัน สำหรับเอเอ็มดีนั้น
จุดเด่นคือ ซีพียูมีราคาถูกกว่าอินเทลในทุกรุ่นและมีความเร็วสูงทั้งงานด้านกราฟิก
และงานทั่วไป ส่วนข้อเสียของเอเอ็มดี คือมีความร้อนสูง หากไม่มีระบบระบาย
ความร้อนที่ดีจะทำให้ระบบไม่มีเสถียรภาพ และเกิดความเสียหายต่อตัวซีพียูได้ง่าย
เมนบอร์ด (Mainboard)
เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นวงจรหลักสำหรับติดตั้งอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ต่างๆ เกือบทั้งหมด โดยจะมีหน้าที่ในการประสานงานและติดต่อรับส่ง
ข้อมูลโดยผ่านระบบบัส บนเมนบอร์ดก็จะมีอุปกรณ์ที่สำคัญๆ รวมอยู่ด้วย เช่น สล็อต,
ซ็อกเก็ตสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ชิพเซ็ตที่ทำหน้าที่เหมือนแม่บ้าน คอยจัด
การและประสานงานให้กับอุปกรณ์ที่นำมาติดตั้งบนเมนบอร์ด นอกจากนี้ก็ยังรวม
เอาแผงวงจรและชิพควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์ (Harddisk
Controller) พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก เช่น พอร์ตขนาน (Parallel Port)
พอร์ตอนุกรม (Serial Port) และพอร์ตยูเอสบี (USB Port) เป็นต้น
แรม (RAM – Random Access Memory)
แรมคือหน่วยความจำที่ทำหน้าที่อ่านและเขียนข้อมูลร่วมกับซีพียูอยู่
ตลอดเวลา ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะต้องมาพักที่แรมเสมอก่อนจะถูกส่ง
ไปยังซีพียู ดังนั้นยิ่งแรมมีขนาดมากขึ้นเท่าไหร่ก็สามารถพักข้อมูลไว้กับแรมได้
มากขึ้น ทำให้ซีพียูไม่ต้องเรียกข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์บ่อยๆ ซึ่งฮาร์ดดิสก์มีความเร็ว
ในการอ่านและเขียนข้อมูลน้อยกว่าแรม ส่งผลให้ระบบของเราทำงานได้เร็วขึ้น
ในปัจจุบันแรมมีหลายชนิดด้วยกัน คือ SDRAM, DDR SDRAM และ RAMBUS
SDRAM จะมีลักษณะเป็นแผงยาวมีขาสัญญาณขนาด 168 pin 64 bit
สำหรับติดตั้งกับซ็อกเก็ตแรมแบบ DIMM ส่วนใหญ่แรมที่ขายกันเดี๋ยวนี้จะเป็นแบบ
PC–100 และ PC–133 ในปัจจุบัน SDRAM ได้รับความนิยมน้อยมาก ที่มีใช้งานอยู่
ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องรุ่นเก่าเสียมากกว่า เนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของ DDR
SDRAM ที่มีคุณภาพดีกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกันนั่นเอง
แตกต่างไปจาก DDR SDRAM หรือ SDRAM มากนักและยังมีราคาแพงกว่ากันค่อน
ข้างมาก นอกจากนี้หากใส่ RAMBUS ไม่ครบแถว (RIMM) ต้องมีการใส่แถวหลอก
(RIMM PCB – Printed Circuit Board) ไว้ให้เต็มเพื่อให้ครบวงจรจึงจะสามารถ
ใช้งานได้
RAMBUS
ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำหรับเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่
โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลสำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมต่างๆ
ซึ่งไม่สามารถเก็บไว้ในแผ่นฟล็อบปี้ดิสก์ที่มีความจุน้อยได้ ภายในฮาร์ดดิสก์
จะประกอบไปด้วยแผ่นจานโลหะแข็ง (Platter) วางซ้อนกันแต่จะไม่ติดกัน โดย
จะมีแขนที่เป็นตัวเคลื่อนหัวอ่านเข้าไปอ่านและเขียนข้อมูลตามตำแหน่งที่ต้องการ
และจะไม่มีการสัมผัสกับแผ่นโดยตรงแต่จะมีช่องว่างห่างกันประมาณ 10 ไมครอน
ทำให้การอ่านข้อมูลจากแผ่น Platter มีความเร็วสูงเนื่องจากไม่มีการเสียดสีที่เกิด
จากการสัมผัส โดยจะมีความเร็วรอบอยู่ 2 แบบคือ 5400/นาที และ 7200/นาที
นอกจากนี้ฮาร์ดดิสก์ยังมีแผ่นวงจรที่อยู่ด้านล่างเป็นตัวควบคุมการ
หมุนของมอนิเตอร แขนที่เป็นตัวเคลื่อนหัวอ่าน และยังทำหน้าที่ติดต่อสื่อสาร
โดยส่งผ่านข้อมูลไปยังเมนบอร์ดอีกด้วย ซึ่งแผ่นวงจรด้านล่างนี้ควรระวังอย่าไปวาง
ไว้กับแผ่นโลหะหรืออุปกรณ์นำไฟฟ้าทุกชนิด เพราะจะทำให้เกิดการลัดวงจร
ก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวฮาร์ดดิสก์ได้ โดยเฉพาะการวางฮาร์ดดิสก์ไว้บน
เคสแล้วเปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากเกิดปัญหาไฟรั่วขึ้นมา
จะทำให้มีไฟฟ้าเข้ามาสู่ตัวเคสและผ่านไปยังฮาร์ดดิสก์ ทำให้แผ่นวงจรของ
ฮาร์ดดิสก์อาจเสียหายได้
เนื่องจากข้อจำกัดในการพัฒนามาตรฐานการเชื่อมต่อแบบเดิม ซึ่งเป็นแบบ
IDE/E-IDE แทบไม่มีการพัฒนาความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลไปได้อีก โดยหยุดไว้ที่
ความเร็วสูงสุดเพียง 133 MB/s จึงทำให้บรรดาผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ได้ทำการพัฒนา
มาตรฐานของฮาร์ดดิสก์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งเรียกว่าเป็นฮาร์ดดิสก์แบบ Serial ATA โดยมี
ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลถึง 150 MB/s และมีหน่วยความจำแคชถึง 8 MB ซึ่งจะ
สามารถพัฒนาความเร็วได้ถึง 300 MB/s และ 600 MB/s ในเวอร์ชั่นต่อๆ ไป นอกจาก
นี้ฮาร์ดดิสก์แบบ Serial ยังมีข้อดีอีกหลายๆ ด้าน เช่น ใช้สายเคเบิ้ลที่ใช้ในการ
เชื่อมต่อแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กและบางกว่าเดิม ทำให้การไหลเวียนของอากาศภาย
ในเคสดีขึ้นดูเป็นระเบียบมากขึ้น และตัวของฮาร์ดดิสก์มีความแข็งแรงมากขึ้น
ไม่บอบบางหรือเสียหายง่ายเหมือนฮาร์ดดิสก์แบบ IDE
จอภาพ (Monitor)
จอภาพหรือจอมอนิเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลจากการทำงาน
ของคอมพิวเตอร์ ซึ่งภายในมีวงจรและระบบการทำงานคล้ายกับเครื่องรับโทรทัศน์
เกือบทุกอย่างแต่จะมีแผงวงจรที่ซับซ้อนน้อยกว่ามาก โดยจะแตกต่างกันตรง
ที่โทรทัศน์มีภาครับสัญญาณทีวี แต่จอมอนิเตอร์มีเพียงภาครับสัญญาณดิจิตอล
จากการ์ดแสดงผลเท่านั้น ปัจจุบันแนวโน้มจอมอนิเตอร์กำลังถูกจอ LCD เข้ามาเป็น
มาตรฐานใหม่แทนด้วยข้อดีหลายๆ อย่าง เช่น มีขนาดบางไม่กินเนื้อที่ในการจัดวาง
มากนัก ไม่มีรังสีสะท้อนรบกวนสายตา และประหยัดไฟมากกว่า เป็นต้น
การ์ดเสียง (SoundCard)
การ์ดเสียงหรือซาว์ดการ์ดที่หน้าที่ในการให้กำเนิดเสียงจากเครื่อง
คอมพิวเตอร์ โดยต้องทำงานควบคู่ไปกับลำโพงด้วย ในปัจจุบันมักจะมีการนำ
คอมพิวเตอร์มาใช้งานประเภทมัลติมีเดียที่ให้ความบันเทิงต่าง ๆ เช่น
ใช้ดูหนังฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกม งานเหล่านี้ต่างก็ต้องพึ่งพาระบบเสียง
ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการทำงานเหล่านี้ทั้งสิ้น ดังนั้นคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
จึงมีการติดตั้งระบบ เสียงให้กับคอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่อง มีทั้งแบบ Sound On
Board หรือแบบที่เป็นการ์ดโดยจะต้องนำมาติดตั้งลงบนสล็อตในเมนบอร์ด
ปัญหาของการ์ดเสียงบางครั้งจะส่งผลกระทบกับเครื่องคอมพิวเตอร์อย่าง
คาดไม่ถึง และส่วนใหญ่จะเกิดจากตัวไดรเวอร์ของการ์ดเอง จนบางครั้งทำให้
วินโดวส์ไม่สามารถบู๊ตเครื่องหรือชัตดาวน์ได้ วิธีแก้ปัญหาคือต้องไปดาวน์โหลด
ไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่มาติดตั้ง
ฟล็อบปี้ไดรฟ์ (Floopy Drive)
ฟล็อบปี้ไดรฟ์เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการอ่านและบันทึกข้อมูลจากแผ่น
ฟล็อบปี้ดิสก์ที่มีขนาด 3.5 นิ้ว ความจุ 1.44 MB โดยจะมีหัวอ่านคอยเลื่อน
เข้าไปอ่านข้อมูลจากแผ่นที่เคลือบสารแม่เหล็กของฟล็อบปี้ดิสก์ทั้งสองด้าน
ซึ่งหัวอ่านนี้จะมีการสัมผัสกับแผ่นแม่เหล็กโดยตรง จึงทำให้การอ่านข้อมูลไม่สามารถ
อ่านได้รวดเร็วเหมือนฮาร์ดดิสก์โดยมีความเร็วประมาณ 300 รอบต่อนาทีเท่านั้น
ซีดีรอมไดรฟ์ (CD-ROM Drive)
ซีดีรอมไดรฟ์เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีเพียง
อย่างเดียว ส่วนใหญ่จะใช้งานในด้านการติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมต่างๆ
รวมไปถึงงานที่เกี่ยวกับความบันเทิง เช่นดูหนัง ฟังเพลง และงานด้านมัลติมีเดียด้วย
โดยมีหน่วยความเร็วในการอ่านข้อมูลเป็น X เช่น 48X หรือ 50X เป็นต้น ในปัจจุบัน
แทบจะเรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีไดรฟ์ซีดีรอมอย่างน้อย หนึ่งไดรฟ์
เสมอ ซึ่งได้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในตอนนี้แล้ว
ซีดีรอมไดรฟ์จะการอ่านข้อมูลด้วยความเร็วในการหมุนแผ่นที่ไม่คงที่
โดยที่จะอ่านข้อมูลที่อยู่วงนอกของแผ่นซีดีด้วยความเร็วสูงสุด และจะค่อยๆลด
ความเร็วลงมาเมื่อมาอ่านข้อมูลที่อยู่วงในสุด ส่วนใหญ่ซีดีรอมไดรฟ์จะอ่านข้อมูล
ที่อยู่ตรงกลางแผ่นซะส่วนมาก ทำให้ใช้ความเร็วเพียงแค่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของ
ความเร็วสูงสุดที่มีเท่านั้น ดังนั้นซีดีรอมไดรฟ์ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยทำงานที่ความเร็ว
สูงสุดของไดรฟ์เท่าไหร่นัก อย่างเช่นซีดีรอมไดรฟ์ความเร็ว 50X จึงไม่ใช่ความเร็วใน
การอ่านข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี
ที่อยู่วงนอกสุด หลังจากนั้นจะค่อยลดความเร็วลงมาเมื่อมาอ่านข้อมูลที่อยู่วงในด้วย
ความเร็ว ที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของไดรฟ์ก็จะประมาณ 20-25X เท่านั้น
ฟล็อบปี้ไดรฟ์
เมาส์และคีย์บอร์ด
เมาส์และคีย์บอร์ดเป็นอุปกรณ์สำหรับทำหน้าที่ในการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้
เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่หากเมาส์และคีย์บอร์ดเสียจะไม่นิยมซ่อม
เพราะเดี๋ยวนี้เมาส์และคีย์บอร์ดมีราคาไม่แพง ถ้ามัวแต่มานั่งซ่อมจะไม่คุ้มกับเวลา
ที่เสียไป
เคสและเพาเวอร์ซัพพลาย
เคสที่ขายในบ้านเรามักมีเพาเวอร์ซัพพลายติดมาด้วยเสมอจนเป็นของ
คู่กัน โดยเคสจะมีลักษณะเป็นกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมผืนฟ้าใช้สำหรับเป็นที่เก็บ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ด ซีพียู แรม ฮาร์ดดิสก์
การ์ดแสดงผล การ์ดเสียง รวมถึงสายแพเชื่อมต่อต่างๆ ส่วนเพาเวอร์ซัพพลายนั้นจะมี
หน้าที่ในการแปลงไฟและจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ที่อยู่ในเคส
ผู้ใช้หลายคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเพาเวอร์ซัพพลาย
เท่าไหร่ แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาที่เกิดกับฮาร์ดดิสก์ และอุปกรณ์ต่างๆ บางครั้งมักมีสาเหตุ
มาจากเพาเวอร์ซัพพลาย หากเพาเวอร์ซัพพลายเสียส่วนใหญ่จะสามารถซ่อม
ได้โดยการเปลี่ยนฟิวส์ หม้อแปลง หรือเปลี่ยนอะไหล่
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น